โรดแมป ‘ก้าวไกล’ ปี 67 จับตาซักฟอกรัฐบาล เม.ย.นี้

26 ม.ค. 2567 - 04:59

  • ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แถลงโรดแมปก้าวไกลปี 67 เตรียมประเมิน KPI ประธาน กมธ.สภาฯ พร้อมกางไทม์ไลน์ ‘ซักฟอก’ รัฐบาลแน่ เม.ย. นี้ เน้นความล้มเหลวในการบริหาร คอร์รัปชัน การทำงานช้า ยัน ตรงไปตรงมาอยู่แล้ว

  • ขออย่าเทียบภาพกับ ‘เศรษฐา’ หลังประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเข้าพบ มองเป็นการจัดสรรเวลาพบทุกฝ่าย ขอบคุณเป็นห่วงสุขภาพประชาธิปไตยไทย ยอมรับ เป็นกำลังใจที่ดีหลังกลับเข้าทำงานวันแรก

  • ตอบโต้! ‘ไม่จริง’ หลังก้าวไกลถูกวิจารณ์ อ่อนแอสอบ ‘ทักษิณ’ ยก ‘ชัยธวัช’ ตั้งกระทู้ในสภาฯ แล้ว ลั่น ต้องยอมรับ ‘ทักษิณ’ ก็เคยถูก 2 มาตรฐานเหมือนกัน แต่ความ 2 มาตรฐาน ปัจจุบันจะลบล้างอดีตไม่ได้ วอนจับตาอภิปรายไม่ไว้วางใจ

  • รอศาล รธน. ชี้ขาดนโยบายแก้ไข ม.112 ก่อนเคาะจะผลักดันต่อหรือไม่ ยอมรับ 17 ปีที่ผ่านมาเกิดขัดแย้งการเมือง ขออย่าสร้างกำแพงทำโอกาสสมานฉันท์ลดลง

pita-roadmap-moveforward-2024-SPACEBAR-Hero.jpg

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงแผนทำงานพรรคก้าวไกล ปี 2567 หรือ MFP's Strategic Roadmap กว่า 20 นาที พร้อมเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสอบถาม

‘พิธา’ ระบุว่า มี Big Bangs หรือ เป้าหมายสำคัญ 6 เป้าหมาย ได้แก่ การทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ผ่านการปฏิรูปทหาร การแก้รัฐธรรมนูญ, การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ผ่านการยกระดับสวัสดิการ และขนส่งสาธารณะ, การหยุดแข่แข็งชนบทไทย ผ่านการสนับสนุนทางการเกษตร, การปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่ ผ่านการกระจายอำนาจ ปฏิรูประบบราชการ, การเรียนรู้ทันโลก ผ่านการตัดอำนาจนิยมในสถานศึกษา เสริมสร้างทักษะผู้เรียน และการเติบโตแบบมีคุณภาพ ผ่านการสร้างงาน และสนับสนุน SMEs โดยวิธีการดำเนินการสู่เป้าหมายนั้น พิธา ชี้แจงว่า จะดำเนินการผ่านการเสนอแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค และเสนอร่างกฎหมายเพิ่มเติม รวมจำนวนทั้งสิ้น 47 ฉบับ สนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอกับการดำเนินงาน และกำหนดแผนปฏิบัติการ รวมถึงพิจารณาความพร้อมของบุคลากร เพื่อให้เป้าหมายสัมฤทธิ์ผล

pita-roadmap-moveforward-2024-SPACEBAR-Photo02.jpg

‘พิธา’ ยังกล่าวถึงการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคว่า ขณะนี้มีร่างกฎหมายของพรรคฯ ที่สภากำลังพิจารณา ทั้งการสมรสเท่าเทียม การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ และกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่คณะรัฐมนตรีขอนำไปพิจารณา 60 วัน ส่วนร่างกฎหมายที่บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมแล้ว และรอการพิารณาจำนวน 17 ฉบับ อาทิ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ, กฎหมายโคนม และผลิตภัณฑ์นม, กฎหมายรับรองเพศ และคำนำหน้านามบุคคล และร่างกฎหมายการแข่งขันทางการค้า เป็นต้น และยังมีร่างข้อบังคับ 1 ฉบับที่ถูกสภาฯ ปัดตกไปแล้ว ได้แก่ ร่างข้อบังคับการประชุมสภาก้าวหน้า นอกจากนั้น ยังมีร่างกฎหมายที่รอนายกรัฐมนตรีรับรอง, ร่างกฎหมายที่กำหลังรับฟังความเห็นอยู่ โดยยืนยันว่า นโยบายการสมรสเท่าเทียม, สุราก้าวหน้า, การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร, การเปลี่ยน ส.ป.ก.เป็นโฉนด และการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ เป็นนโยบายเรือธงของพรคก้าวไกล ที่จะเสนอเป็นร่างกฎหมาย เพื่อให้เป้าหมายประสบความสำเร็จ

ส่วนหมุดหมายสำคัญของการทำงานในปี 2567 นั้น ‘พิธา’ ระบุว่า จะมีการกำหนด KPI และตัวชี้วัด เพื่อประเมินประธานกรรมาธิการฯ ในสัดส่วนของพรรคฯ และ สส.ของพรรคฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นในเดือนเมษายน จะพิจารณาในการเปิดอภิปรายรัฐบาลว่า จะเป็นในรูปแบบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรืออภิปรายทั่วไป ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ของพรรคฯ ในเดือนเดียวกัน เพื่อพิจารณาปรับโครงสร้างองค์กร จากนั้น ในช่วงกลางปีจะมีการเตรียมการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 และปลายปี 2567 นี้ พรรคจะพิจารณาการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่น

pita-roadmap-moveforward-2024-SPACEBAR-Photo03.jpg

จากนั้น เป็นช่วงถามตอบ โดยผู้สื่อข่าวถามถึงการแถลงวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทำงานของพรรคก้าวไกล แต่ในแง่ของฝ่ายค้านจะมีการตรวจสอบรัฐบาลอย่างไร พิธา กล่าวว่า ก็คงมีการทำงานร่วมกันของพรรคฝ่ายค้านเหมือนกันทุกองค์กร ซึ่งแม้จะต่างพรรคกัน คงต้องมารวมกันทุกพรรค 

ส่วนภาพที่รัฐบาลจะต้องเจอภายหลังจากที่ ‘พิธา’ กลับมานั้น ในทุกสัปดาห์ เราจะมีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) คอยเก็บข้อมูล และลงพื้นที่ไปรับฟังพี่น้องประชาชน มีทีมงานเบื้องหลังก็มีการเรียบเรียงข้อมูลให้เห็นว่า ภาพที่รัฐบาลทำมีอะไรบ้าง และมีอะไรบ้างที่รัฐบาลควรจะต้องปรับปรุง ตามกลไกของรัฐสภา ตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นไป น่าจะพอเห็นภาพ 

ส่วนการเตรียมหัวข้อในการอภิปราย พิธา กล่าวว่า เน้นไปที่ 3 หัวข้อใหญ่คือ 1.ความล้มเหลวในการบริหาร 2.การประพฤติมิชอบ คอร์รัปชัน และ 3.การทำงานช้า น้อย หรือสายเกินไป ไม่ตรงกับความท้าทายของศักยภาพประเทศ ตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พูด แต่ทีมงายหลังบ้านกำลังทำข้อมูล เพิ่มขึ้นทุกอาทิตย์ ในส่วน กมธ. ก็สามารถเรียกข้อมูลเพิ่มเติมได้ ‘สัญญากับพี่น้องประชาชน ว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง’

เมื่อถามว่า กลัวจะเป็นการสกัดดาวรุ่งของตัวเองหรือไม่ เนื่องจากได้เปิดเผยความต้องการในการทำงานไปแล้ว ‘พิธา’ กล่าวว่า การทำงานไม่ได้มีแค่ตนเองและรัฐบาล แต่มีฝ่ายประชาชน ฝ่ายข้าราชการ เอ็นจีโอ องค์การระหว่างประเทศ ร่วมด้วย ถ้าไม่พูดว่าต้องการอะไร ก็จะสะเปะสะปะ ภาคส่วนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมตรงไหน อย่างไร กับใคร และมองไม่เห็นการเมืองแห่งความเป็นไปได้ ต้องหาดุลภาพให้เจอ

เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านของพรรคก้าวไกลจะไม่เหมือนกับฝ่ายค้านชุดที่ผ่านๆ มา ใช่หรือไม่ ‘พิธา’ กล่าวว่า เราอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ การทำกฎหมายที่ก้าวหน้าเป็นหน้าที่ของเรา แน่นอนว่าต้องตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาเต็มที่อยู่แล้ว แต่การตรวจสอบยังไม่พอ ต้องมีการแนะนำ ขณะเดียวกันต้องเรียนรู้ในกระบวนการ 

“เมื่อเราเป็นรัฐบาลด้วยตัวเอง เราจะได้ไม่มีข้อติดขัดต่างๆ ทำงานได้เลย เป็นการเรียนรู้ไปในตัว”พิธา กล่าว

เมื่อถามถึงนโยบายที่มีตรงกันกับพรรคร่วมรัฐบาล มั่นใจแค่ไหน ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะผลักดันนโยบายให้ผ่าน ‘พิธา’ กล่าวว่า เท่าที่ดูจากสถิติ มี 2 กฎหมายที่เราสามารถผ่านสภาได้ ทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สมรสเท่าเทียม และพ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ว่าไปกันคนละทาง แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีกฎหมายที่ดีที่ตอบโจทย์กับพี่น้องประชาชน ตนคิดว่าบางเรื่องก็มีทิศทางไปในทางเดียวกัน ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง อาทิ นโยบายเปลี่ยนโฉนดที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ก็เป็นนโยบายเดียวที่เหมือนกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในทางปฏิบัติ

‘พิธา’ กล่าวต่อว่า เมื่อฟังการแถลงข่าวแล้วก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนว่า ในเมื่อมีทิศทางไปในทางเดียวกัน ก็ไม่เห็นข้อจำกัดคือข้ออ้างใดๆ ที่จะปัดตกตั้งแต่ชั้น กมธ.วาระแรก เพื่อให้ไปคุยกันในรายละเอียดวาระสอง และลงมติในวาระสาม ถ้าผ่านได้ก็คิดว่าเป็นผลงานของสภาร่วมกัน และพี่น้องประชาชนจะได้ประโยชน์

pita-roadmap-moveforward-2024-SPACEBAR-Photo04.jpg

‘พิธา’ ยังกล่าวถึงภาพการเข้าพบ นายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) ว่า เป็นคำเชิญจากทางเยอรมนี ไม่แน่ใจว่าเป็นความประสงค์ของประธานาธิบดีโดยตรงหรือไม่ แต่ว่ามีการติดต่อมาจากทางการเยอรมนีว่า ขอพบปะอย่างไม่เป็นทางการ ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านประธานาธิบดีและคณะประมาณ 30-40 นาที ก็ได้พูดคุยกันหลายเรื่อง

ส่วนกรณีที่ในการแถลงข่าวของประธานาธิบดีเยอรมนีกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทยเมื่อวานนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการพูดถึงคดีหุ้นสื่อไอทีวี และการมาพบกับพิธา จะมองว่ามีการนำไปเปรียบเทียบกับเศรษฐา หรือไม่ ‘พิธา’ ระบุว่า คงไม่เป็นอย่างนั้น เท่าที่ดูตารางงาน ประธานาธิบดีได้วางเวลาอย่างสมดุล ทั้งภาคเอกชน รัฐบาล พรรคการเมือง รวมถึงการชมศิลปะที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA) ท่านคงวางแผนให้เกิดความสมดุลตรงนั้น

“ตัวผมเองได้มีโอกาสขอบคุณท่านประธานาธิบดีที่แสดงถึงความห่วงใยของสุขภาพของประชาธิปไตยไทย เชื่อว่าถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวผม ท่านก็คงพูดในลักษณะนั้นอย่างดี เพราะว่าท่านเป็นมิตรประเทศกับประเทศไทย มีความสัมพันธ์ 162 ปี ก็ต้องขอบคุณท่านที่เป็นประมุขของรัฐที่คำนึงถึงคุณค่าของเพื่อนประเทศที่เป็นมิตรกันมานาน” พิธา กล่าว

ส่วนการพบกับประธานาธิบดีเยอรมนีถือเป็นกำลังใจในการทำงานเพราะกลับมาทำงานเป็น สส.วันแรกก็ได้เข้าพบประมุของรัฐที่เป็นผู้นำของโลก ‘พิธา’ ระบุว่า คงเป็นเรื่องบังเอิญ 

“ท่านก็คงมีกำหนดเดินทางมาซึ่งได้เดินทางไปเวียดนามมาก่อนและเดินทางมาประเทศไทย ส่วนผมเองศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นคนกำหนดให้วินิจฉัยวันที่ 24 มกราคม ก็เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า แต่ก็เป็นกำลังใจ” พิธา กล่าว

pita-roadmap-moveforward-2024-SPACEBAR-Photo01.jpg

‘พิธา’ ยังกล่าวถึงข้อวิจารณ์​ที่ว่า การตรวจสอบของพรรคก้าวไกลอ่อนแอ โดยเฉพาะกรณีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจว่า ไม่เป็นความจริง วันนี้เราตรวจสอบทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา และเรื่องของทักษิณ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯ แล้ว

ส่วนมุมมองส่วนตัวกับเรื่องนี้ มองเป็นเรื่องของระบบ ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และไม่ต้องการทำให้กลายเป็นเรื่องของความสะใจ มองว่า ระบบควรจะมีความเท่าเทียม สำหรับคนที่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง และคนพี่ต้องลี้ภัยไปหลายประเทศ มีหลายคนที่แสดงความเห็นทางการเมืองแล้วไม่สามารถกลับบ้านได้ ทุกคนควรได้รับโอกาสกลับเข้าสู่กระบวนการอย่างเท่าเทียมกัน เราจึงพยายามผลักดันเรื่องนิรโทษ โดยที่ไม่ได้ต้องการสนับสนุนหรือโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่ต้องเห็นประเทศไทยเป็นนิติรัฐของอภิสิทธิ์ชน 

เมื่อถามว่า ภาพจำตอนนี้ คนคิดว่าพรรคก้าวไกลไม่กล้าแตะเรื่องทักษิณ มีการเปรียบเทียบว่า สว. ยังทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ‘พิธา’ กล่าวว่า อายุและเวลาการทำงานตอนนี้มันไม่เท่ากัน การทำงานที่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายความว่า ใครทำก่อน ทำหลัง แต่ประสิทธิภาพอยู่ที่ว่าใครทำได้ตรงเป้าหมายมากกว่ากัน ถ้าวุฒิสภาเห็นว่าเวลาที่เหมาะสมในการเปิดอภิปรายตอนนี้ เขาก็อาจจะยื่นก่อนพรรคก้าวไกล ก็เป็นสิทธิ์ของวุฒิสภาที่จะใช้อำนาจ แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คืออยู่มาหลายปีเพิ่งเห็นวุฒิสภาตรวจสอบรัฐบาล ที่ผ่านมาไม่เคยมี แต่เราอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกปี และไม่เคยทำให้ผิดหวัง

เมื่อถามว่า พิธาอาจจะมองว่า ทักษิณถูกกระทำ แต่การที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ มันเป็นความ 2 มาตรฐาน แต่พรรคก้าวไกลไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างจริงจัง ‘พิธา’ กล่าวย้ำถึงกรณีที่ ‘ชัยธวัช’ ตั้งกระทู้ถามในสภา โดย ‘ชัยธวัช’ เคยยกตัวอย่างแล้วว่าคนที่ใช้สิทธิ์นอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีไม่กี่คน และพยายามยกตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า 2 มาตรฐานจริงๆ แม้ทักษิณจะโดนกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งมันเป็นความ 2 มาตรฐานเหมือนกัน แต่มันไม่ได้หมายความว่าความ 2 มาตรฐานที่เกิดขึ้นวันนี้ จะไปล้มล้างความ 2 มาตรฐานที่เกิดขึ้นในอดีต มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ก็ควรจะเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งก่อนและหลังเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยืนยันว่าจะติดตามตลอด และจะใช้กลไกทั้งในและนอกสภา ในการทำงานตรงนี้

เมื่อถามว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน จะมีเรื่องทักษิณหรือไม่ ‘พิธา’ กล่าวว่า มีหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต้องรอดูสถานการณ์ไหนที่จะมาเรียงลำดับความสำคัญ 

‘พิธา’ ยังให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลจะยังผลักดันอยู่อีกหรือไม่ว่า คงต้องรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ 31 ม.ค.นี้ จึงยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน

เมื่อถามว่า รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ชี้แจงว่าในการนิรโทษกรรมนั้น ในส่วนบุคคลที่โดน มาตรา 112 จะถูกตั้งคณะกรรมการพิจารณาเป็นรายๆ ไป แต่พรรคการเมืองอื่นไม่ให้นับรวม มาตรา 112 ในนิรโทษกรรมเลย  มองอย่างไร ‘พิธา’ กล่าวว่า ข้อเสนอของรังสิมันต์ เหมือนพบกันครึ่งทาง แต่ของพรรคก้าวไกล คือการนิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 112 ด้วย วานนี้ (25 ม.ค.) ส่วนตัวเจอรังสิมันต์ มัวคุยแต่เรื่องลูกเขา ไม่ได้คุยเรื่องงานเท่าไหร่ เลยยังไม่สามารถคอนเฟิร์มได้ 

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ในช่วงขัดแย้งทางการเมือง ปีนี้เป็นปีเริ่มต้นใหม่ อย่าให้มีการสร้างกำแพงขึ้นมา จะทำให้สร้างโอกาสสมานฉันท์ลดลง ถ้ามีเงื่อนไขใหม่เกิดขึ้น ควรมีวิธีการบริหารจัดการความขัดแย้งทางการเมือง ในหลายรูปแบบได้รับการจัดการอย่างครบถ้วน

เมื่อถามว่าอุปสรรคใหม่ของการนิรโทษกรรม ยังอยู่ที่มาตรา 112 มีหลายกรณี พรรคก้าวไกลจะขับเคลื่อนบทบาทอย่างไรในการช่วยเหลือมวลชนเป็นการเฉพาะ ‘พิธา’ กล่าวว่า ติดตามสถานการณ์อยู่เรื่อย ๆ และได้รับการอัปเดตเสมอ เรื่องนี้พรรคก้าวไกลคงไม่ทิ้ง เรื่องการแสดงออกทางการเมือง เป็นการหาทางออกร่วมกันของประเทศชาติว่า การทำให้เราเป็นระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ควรออกมาทิศทางไหน ถ้าแต่ละทิศทางที่ออกมา โดยเฉพาะการเกิดขึ้นกับเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีหลายสิบคน เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับไทยในสากลโลกในปัจจุบันนี้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์