ยังต้องเกาะติดเป็นรายวันสำหรับความคืบหน้าของการอพยพคนไทย ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ‘อิสราเอล-ฮามาส’
โดยระหว่างปฏิบัติภารกิจที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง รายงานคนไทยเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ทำให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตรวม 30 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บและตัวประกัน ยังมีตัวเลขเท่าเดิม ขณะที่ในการพบปะกับ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (António Guterres) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) และผู้นำหลายประเทศ ระหว่างงานเลี้ยงรับรองที่ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเจ้าภาพ ซึ่งทุกคนแสดงความห่วงใยกับสถานการณ์ที่อิสราเอล และทุกคนมั่นใจว่าสถานการณ์จะเคลื่อนไปในทิศทางที่เลวร้ายลง
ทั้งนี้ ได้แจ้งกับเลขาธิการยูเอ็นว่า ไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้ง แต่กลับเป็นผู้ที่สูญเสียมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็น แสดงความตกใจ และแสดงความเห็นใจมายังประเทศไทย พร้อมแจ้งว่า ในวันที่ 19 ตุลาคม จะเดินทางไปอียิปต์และไปยังจุดที่มีความขัดแย้ง ซึ่งเข้าใจว่า ไปกดดันให้มีการยุติโดยสันติภาพให้เร็วที่สุด แต่ก็เชื่อว่าสถานการณ์ก็ไม่ดีเท่าไหร่ และแสดงความห่วงใยอย่างมาก พร้อมเป็นกำลังใจให้ประเทศไทย
“ผู้นำหลายประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรง ก็พยายามเดินทางเข้าไปเจรจา ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็เตรียมเข้าไป เช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ ก็มีส่วนร่วมในการช่วยเจรจา ซึ่งทุกประเทศเป็นห่วงสถานการณ์ เนื่องจากเห็นว่าไม่น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี”
มั่นใจรับคนไทยกลับได้หมดภายในสิ้นเดือนนี้ ยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศด้วยว่า ปัจจุบันสามารถนำคนไทยออกมาได้เฉลี่ย 400 คนต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนการกลับไทยเพิ่มขึ้นวันละ 600 คน ดังนั้น ความจำเป็นในการนำเครื่องบิน A380 ซึ่งสามารถรองรับได้เที่ยวละ 500-600 คน ก็น้อยลง เนื่องจากไม่สามารถนำคนมารวมกันไว้ได้เยอะขนาดนั้น เพราะสถานที่ไม่สามารถรองรับได้ ซึ่งมั่นใจว่า จะสามารถรับคนไทยที่แจ้งความประสงค์เดินทางกลับได้หมดภายในสิ้นเดือนนี้
“ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ ได้ติดต่อกับท่าเรือ เพราะบางประเทศได้นำเรือสำราญไปรับคนออกมา เช่น สหรัฐฯ ไปรับออกมา 1,500 - 2,000 คน ออกมาจากอิสราเอลแล้วไปจอดไซปรัส แต่ขณะนี้ ท่าเรือปิดแล้ว หากไทยขอไปอีกอาจจะลำบาก มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น อีกทั้งการรับคนออกมาจากพื้นที่เสี่ยง แล้วมารวบรวมไว้เป็นพันคนไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องโลจิสติกส์เป็นเรื่องที่ลำบากใจมาก”
เร่งอพยพคนไทยออกจากพื้นที่สีแดงเร็วที่สุด วอนรีบตัดสินใจว่าจะอยู่หรือกลับไทย
นายกฯ ยังกล่าวถึงประเด็นความสับสนทางข้อมูล เพราะก่อนหน้านี้ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย แจ้งว่าสามารถอพยพคนไทยออกจากพื้นที่เสี่ยงได้ถึง 99% ซึ่งความจริงแล้วยังไม่ใช่ เพราะจากเที่ยวบินล่าสุด มีคนไทยที่แจ้งความประสงค์จะกลับ ยังไม่สามารถออกจากพื้นที่นั้นได้หลายสิบคน ทำให้คนที่เดินทางกลับลดน้อยลง จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และหากสถานการณ์การสู้รบของทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มที่ จะทำให้เกิดความสูญเสียมากขึ้น เป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องนำคนไทยออกมาให้ได้มากที่สุด
โดยจะต้องประสานด้านโลจิสติกส์ให้ดีว่า หากนำตัวออกจากพื้นที่เสี่ยงได้แล้วจะทำอย่างไร ซึ่งขณะนี้ ฝ่ายค้านมั่นคง โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็พยายามติดต่อประสานเพื่อนำคนไทยออกมาให้ได้เร็วและปลอดภัยที่สุด แต่การลำเลียงคนออกจากพื้นที่สีแดง ไม่ใช่ทำได้ตลอดเวลา ต้องดูเรื่องเวลาด้วย ยืนยันว่า รัฐบาลพยายามเจรจาและดำเนินการหลายๆ อย่าง
“ผมอยากให้คนที่ยังได้ตัดสินใจ เร่งตัดสินใจว่าจะกลับหรือไม่กลับ เพราะความเสี่ยงอยู่ที่ตัวท่าน ส่วนหน้าที่ของรัฐบาล หากท่านแสดงความจำนงค์ว่าจะกลับ เป็นหน้าที่เราที่ต้องทำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อลำเลียงคนออกมาให้เร็วและปลอดภัยที่สุดและวันที่ 18 ตุลาคม กระทรวงการต่างประเทศ จะประสานไปที่สถานเอกอัครราชทูต เพื่อตรวจสอบจำนวนเที่ยวบินว่ามีเท่าไหร่ ที่สำคัญต้องนำคนไทยไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยก่อนบินกลับประเทศ”
ชุดที่ 8 ถึงมาตุภูมิแล้ว! 266 คนไทยจากอิสราเอล
ขณะเดียวกัน แรงงานไทยชุดที่ 8 จำนวน 266 คน ได้เดินทางถึงประเทศไทย เมื่อเวลา 03.30 น. ของวันนี้ ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 8951 และทันทีที่มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กระทรวงแรงงานได้จัดเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะให้บริการคำแนะนำเกี่ยวกับการยื่นคำร้องขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อให้แรงงานไทยได้รับเงินสิทธิประโยชน์ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด