ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ (11-17 ก.พ.67) ซึ่งเป็นสัปดาห์แห่งความรัก จะมีไฮไลต์สำคัญทางการเมืองเกิดขึ้น 3 เรื่องด้วยกัน โดยบางเรื่องจะเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นในรัฐบาลเศรษฐา ตั้งแต่การปรับครม.แบบสมบัติผลัดกันชม ไปจนถึงสึนามิการเมือง ล้างไพ่กันใหม่ทั้งครม.
เริ่มจากวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ รัฐบาลนัดเปิดทำเนียบรัฐบาล แถลงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งระบบ จากที่ได้ลงทะเบียนไว้ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมออกมาตรการแแก้หนี้ในแต่ละกลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มที่ 1 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย หรือพักชำระหนี้ชั่วคราว สำหรับลูกหนี้รายย่อย หวังครอบคลุมกว่า 99% ของจำนวนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียในกลุ่มนี้ที่มีกว่า 100,000 ราย
- กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมาก ได้แก่ กลุ่มข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร และกลุ่มที่เป็นหนี้บัตรเครดิต
- กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น เกษตรกร ลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) โดยมีโครงการพักชำระหนี้ทั้งหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 3 ปี ประเมินว่ามีเกษตรกรเข้าร่วมการพักหนี้กว่า 1.5 ล้านราย
- กลุ่มที่ 4 กลุ่มที่เป็นหนี้เสียคงค้างกับสถาบันการเงินของรัฐมาเป็นระยะเวลานาน กลุ่มนี้จะโอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ คาดช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้ประมาณ 3 ล้านราย รวมถึงการดูแลผู้ประสบปัญหาหนี้นอกระบบ โดยให้แต่ละหน่วยงานไปดำเนินการ บนเป้าหมายดึงเม็ดเงินกำลังซื้อกลับคืนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาท ฟื้นคืนศักยภาพการผลิตของภาคประชาชนอย่างน้อย 5 ล้านคน
แต่ดูแล้วไม่ได้มีอะไรใหม่ เป็นเพียงอัพเดตการทำงาน เอาเรื่องที่ทำอยู่มาเล่าใหม่ให้เป็นข่าว ก่อนจะปิดลงทะเบียนในวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้มากกว่า อาจจะมีให้เห็นความอลังการอยู่บ้าง ก็ตรงที่เป็นอีเว้นท์ใหญ่เอาบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมานั่งแถลงร่วมกับนายกรัฐมนตรี ชนิดที่ยกกันมาทั้งครม.
รวมทั้ง มีฝ่ายการเมืองที่ปรึกษา เลขาฯ ผู้เชี่ยวชาญ และฝ่ายประจำที่เป็นระดับหัวหน้าหน่วยงานตั้งแต่ปลัดกระทรวงถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็มานั่งประกอบฉากด้วย ความใหญ่ของข่าวก็จะอยู่ที่ตรงนี้แหละ
ถัดไปในวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ รัฐบาลได้ฤกษ์นัดประชุมคณะกรรมการดิจิทัลฯ ชุดใหญ่ หลังเจอโรคเลื่อนมาหลายครั้ง มาถึงวันนี้เมื่อมีคำตอบจากทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้ว จึงหมดข้ออ้างเลื่อนต่อไปอีกไม่ได้
การประชุมคณะกรรมการดิจิทัลฯ ชุดใหญ่ที่จะมีขึ้น จึงเป็นอีกไฮไลท์สำคัญที่ต้องจับตาดูว่า จะได้ข้อสรุปเรื่องโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ออกมาอย่างไร เพราะในคณะกรรมการชุดนี้นอกจากตัวแทนจากพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ยังมีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายต่างๆ รวมอยู่ด้วย
โดยเฉพาะกรรมการจากธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่มีชุดความคิดของตัวเองเรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท แตกต่างจากรัฐบาลอย่างชัดเจน สุดท้ายต้องดูว่าจะให้ความเห็นไปทิศทางไหน อย่างไร
หลังการประชุมเสร็จ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จะมีการแถลงใหญ่อีกครั้ง
สุดท้ายข่าวใหญ่สุดของสัปดาห์นี้ จับตาหลังเที่ยงคืนวันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่เดินทางกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเริ่มรับโทษตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 จะได้สิทธิ์พักโทษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ หลังติดคุกมาแล้ว 1 ใน 3 ตามเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์
แม้จะมีความผิดคดี มาตรา 112 ที่อัยการมีหนังสือขออายัดตัวไว้ และข้อสงสัยเรื่องการติดคุกตลอด 180 วัน ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยที่ไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนั้น จะถือเป็นการรับโทษที่เข้าข่ายเกณฑ์การพักโทษได้หรือยัง
ดูเหมือนข้อกังขาที่ว่าจะไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะ ‘พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง’ รมว.ยุติธรรม ยืนยันว่า การถูกคุมขังอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็ถือเป็นการรับโทษแล้วเช่นกัน
ส่วนความผิดคดี มาตรา 112 นั้น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็ยืนยันทางเจ้าพนักงานสอบสวน ได้เข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนแล้ว โดยนายทักษิณปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมทำหนังสือยื่นขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุดแล้ว
ทุกอย่างจึงราบรื่น หนทางกลับคืนรังจันทร์ส่องหล้าถูกเปิดโล่ง จากนี้ไปจะเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งของจุดเปลี่ยนทางการเมือง โดยเฉพาะในรัฐบาลเศรษฐา ที่อย่างน้อยต้องมีการปรับครม.เกิดขึ้นในเร็ววันนี้
แต่ถ้าหนักหน่อยอาจถึงขั้นเกิดสึนามิการเมืองขนาดย่อมๆ ล้างไพ่เขย่าใหม่กันทั้ง ครม. เพราะอำนาจการต่อรองชั่วโมงนี้ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศของการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วเหมือน 5-6 เดือนก่อนแล้ว
