แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ระหว่างผู้นำอาเซียนกับเกาหลีใต้ ครั้งที่ 25 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติ (NCC) นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยในการประชุมครั้งนี้ ยุน ซ็อก ย็อล (Yoon Suk Yeol) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมการประชุม
แพทองธาร ได้กล่าวถ้อยแถลงในนามอาเซียน (ASEAN Common Statement) เนื่องจากประเทศไทย เป็นประเทศผู้ประสาน Coordinator
และกล่าวในนามประเทศไทย ว่า ปีนี้ถือเป็นปีสําคัญในการเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีของความสัมพันธ์อาเซียน-เกาหลีใต้ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา อาเซียนกับเกาหลีใต้มีความร่วมมือที่ลึกซึ้งและขยายขอบเขตไปได้ทั้ง 3 เสาหลัก ของประชาคมอาเซียน
และวันนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นบทบาทใหม่ ของความสัมพันธ์ด้วยการจัดตั้งหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership : CSP) ซึ่งหวังว่าจะได้ดําเนินการ CPS บนพื้นฐานของความไว้วางใจ เคารพซึ่งกันและกัน และเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และการพัฒนาแผนปฏิบัติการอาเซียน-เกาหลีใต้ฉบับใหม่ (พ.ศ. 2569-2573) จะเป็นแนวทางความร่วมมือในอนาคต
ทั้งนี้ อาเซียนชื่นชมการสนับสนุนของเกาหลีใต้ ต่อความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และมุมมองของอาเซียน เกี่ยวกับอินโดแปซิฟิก ผ่านกลไกที่นําโดยอาเซียน รวมถึงชื่นชมการมีส่วนร่วมของเกาหลีใต้ ในความร่วมมือภายใต้ AOIP ซึ่งสอดคล้องกับความร่วมมือเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (Korea ASEAN Solidarity Initiative : KASI) ด้านการเมือง อาเซียนสนับสนุนความร่วมมือเพิ่มเติมในการจัดการกับปัญหาความมั่นคงที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional security issues) รวมถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ และความมั่นคงทางทะเล
ทางด้านเศรษฐกิจ อาเซียนสนับสนุน RCEP และหวังว่าจะเริ่มการเจรจายกระดับ FTA อาเซียน-เกาหลีในปี พ.ศ. 2569 พร้อมกันนี้ อาเซียนสนับสนุน MSMEs สตาร์ทอัพ ให้กับเยาวชน คนรุ่นใหม่ และสุภาพสตรี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน ส่วนทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ควรส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและวัฒนธรรม หวังว่าเกาหลีใต้จะสนับสนุนการฝึกอบรมด้านเทคนิคและการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาอาชีพ (TVET) เพื่อแรงงานอนาคต รวมทั้งสนับสนุนให้เกาหลีใต้ร่วมมือกับศูนย์อาเซียนด้านสาธารณสุข ในส่วนของคาบสมุทรเกาหลี อาเซียนเรียกร้องให้เกาหลีเหนือปฏิบัติตามมติ UNSC พร้อมย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์ และใช้กลไกของอาเซียน อาทิ ARF ส่งเสริมบรรยากาศการเจรจาอย่างสันติ ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ อาเซียนสนับสนุนความพยายามของเกาหลีใต้ในการเจรจาอย่างสันติและต่อเนื่องเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพที่ยั่งยืน เพื่อคาบสมุทรเกาหลีที่ปราศจากนิวเคลียร์ สงบสุข และเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่ยอมรับการให้ความสำคัญกับ “August 15 Unification Doctrine” (วิสัยทัศน์ใหม่ด้านการรวมชาติ 15 สิงหาคม)

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแถลงการณ์ของประเทศไทย โดยได้หยิบยกวิสัยทัศน์ ‘ABC’ ในการพัฒนาหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน (CSP) กับเกาหลีใต้ นั้นก็คือ
ด้าน ‘A' Advanced Technology การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เกาหลีใต้ในฐานะผู้นํานวัตกรรมหลายประเภท สามารถมีส่วนสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค และบูรณาการเศรษฐกิจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผ่านการยกระดับ ASEAN-ROK FTA
และ ‘B’ Balanced development คือการพัฒนาที่สมดุล สร้างอนาคตที่เท่าเทียมยั่งยืน และยืดหยุ่นมากขึ้น โดยประเทศไทยขอให้เกาหลีใต้สนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MSMEs
ส่วนวิสัยทัศน์ ‘C’ Creative economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้น หลายเรื่องที่ไทยได้รับแรงบันดาลใจจากความสําเร็จของเกาหลีใต้ โดยขอชื่นชมการมีส่วนร่วมของเกาหลีใต้ใน “Seminar on Thailand and Creative ASEAN” ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้ว และประเทศไทยและเกาหลีใต้สามารถร่วมมือกันในประเด็นด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นจุดสนใจหลักของงานวันอาเซียน-เกาหลีใต้ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้

ประชุม ‘อาเซียน-ญี่ปุ่น’ ไทยเสนอ 3 แนวทาง เพิ่มความร่วมมือระหว่างกัน
นายกรัฐมนตรี พร้อมผู้นำและผู้แทนสมาชิกอาเซียน ยังได้ร่วมประชุมกับ ชิเกรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 27
นายกฯ กล่าวแสดงความยินดีต่อ ชิเกรุ อิชิบะ ในโอกาสที่เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยญี่ปุ่นนับเป็นพันธมิตรที่อาเซียนเชื่อถือไว้วางใจ มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ และมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
ดังนั้น อาเซียนและญี่ปุ่น จะเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เข้มแข็ง ผ่านการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม 3 ประการ ดังนี้ ประการที่หนึ่ง “การเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกแห่งดิจิทัล” ทั้งนี้ ประเทศไทยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของญี่ปุ่นในด้านดิจิทัลที่กำลังเกิดขึ้นใหม่เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ อาเซียนและญี่ปุ่นควรเพิ่มความร่วมมือในการพัฒนาทักษะและเพิ่มทักษะใหม่ให้แก่ MSMEs รวมถึงเปิดโอกาสให้ MSMEs เข้าถึงตลาดใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ได้นำมาซึ่งประโยชน์มากมายต่อพลเมือง แต่ก็เปิดโอกาสให้เกิดการใช้งานในทางที่ผิดได้เช่นกัน ดังนั้น อาเซียนและญี่ปุ่น ควรร่วมมือกันส่งเสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ และต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ให้มากขึ้น ผ่านศูนย์ความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาบุคลากรทางด้าน ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประการที่สอง “การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว” นั้น นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าความมุ่งหวังของรัฐบาลในการส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาด และยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค พร้อมแสดงความยินดีต่อการดำเนินการของโครงการความร่วมมือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต (ASEAN-Japan Co-Creation Initiative for the Next-Generation Automotive Industry)
และไทยหวังว่า จะได้ร่วมมือกันมากขึ้นในการประชุม Asia Zero Emission Community เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านรูปแบบพลังงานใหม่ๆ ของภูมิภาคนี้
ประการที่สาม คือ “การขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม” โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า นวัตกรรมเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ประเทศไทยขอบคุณญี่ปุ่นที่สนับสนุนการเพิ่มความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งการแลกเปลี่ยนงานวิจัย
พร้อมหวังว่า จะได้ร่วมมือกันเพิ่มเติมในด้านเทคโนโลยีเกษตร อาหาร และการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าท้องถิ่น ผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมต่อไป ซึ่งเชื่อมั่นว่า หากมีการพัฒนาตามกรอบ 3 ประการนี้ จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น

แถลงเวทีอาเซียน+3 ย้ำ 3 ประเด็น ส่งเสริมความยืดหยุ่น-ยั่งยืน-เจริญรุ่งเรือง
วันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน+3 (ASEAN Plus Three: APT) ครั้งที่ 27 โดยมีผู้นำประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจา จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เข้าร่วม
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณเลขาธิการอาเซียน ในการรายงานความคืบหน้า ความร่วมมือของ APT และขอบคุณสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO)
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่ง APT จะยังคงมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

และเน้นย้ำถึง 3 ประเด็นสำคัญ ในการส่งเสริมให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีความยืดหยุ่น ยั่งยืน และเจริญรุ่งเรือง ดังนี้ ประการแรก “การต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ” โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ ที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน ต่อระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่ผู้บริหารยุคดิจิตัล สมัยใหม่ต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับยุคดิจิตัล เพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนโครงการของ APT เพื่อจัดการกับปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์และการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย
ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานความร่วมมือเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติกับประเทศคู่เจรจา+3 (ASEAN Senior Officials’ Meeting on Transitional Crime Plus Three: SOMTC+3) ซึ่งได้รับการรับรองเมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว ประการที่สอง การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและการจัดการทรัพยากรน้ำ มีความสำคัญเร่งด่วนในการจัดการกับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในฐานะที่ไทย เป็นที่ตั้งของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียน+3 (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve: APTERR) ไทยพร้อมสนับสนุนการขยาย APTERR เพื่อรองรับการสำรองอาหารหลักประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม
ตลอดจนสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ และความเชี่ยวชาญจากประเทศคู่เจรจา+3 โดยเฉพาะด้านการเกษตรอัจฉริยะ รวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการจัดการน้ำ
ประการที่สาม นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงิน ผ่านการจัดตั้ง Rapid Financing Facility ภายใต้มาตรการริเริ่มที่จังหวัด เชียงใหม่ของไทย ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralism: CMIM) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนฉุกเฉิน ตลอดจนการสนับสนุนการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในกลไกของ APT ซึ่งรวมถึงการออกพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นภายใต้โครงการ Asian Bond Markets Initiative นอกจากนี้ ในปี 2568 นี้ประเทศไทยจะเป็นประธานกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) ซึ่งมีประเทศอาเซียน +3 เป็นสมาชิกทั้งหมด โดยประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเจรจาและความร่วมมือทางการเงินภายใต้กรอบ ACD เพื่อผลักดันการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการพัฒนาของสหประชาชาติ ต่อไป ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ความพยายามร่วมกันของ APT จะสำเร็จได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศคู่เจรจา +3 โดยอาเซียนพร้อมสนับสนุนความร่วมมือไตรภาคีที่ดีอย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันเชิงบวกที่ประสานพลังมากขึ้นในกรอบ APT