



ที่พรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ยังไม่ได้แสดงท่าทียอมรับความพ่ายแพ้จากการเลือกตั้ง
รังสิมันต์ เปิดประเด็นว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้ยิน พล.อ.ประยุทธ์ เอ่ยแสดงความยินดีต่อพรรคก้าวไกล ที่ชนะการเลือกตั้งเลย และยังไม่เห็นการเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เลย ต่างจากประเทศประชาธิปไตยอื่น ที่ผู้นำรัฐบาลเก่าจะแสดงสปิริตยอมรับความพ่ายแพ้ พร้อมเชื่อว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำแบบนั้น เพราะยังหวังว่าจะมีส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาล และคิดว่าตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะได้เห็นสปิริตและได้ยินการยอมรับความพ่ายแพ้จากปาก พล.อ.ประยุทธ์
รังสิมันต์ ย้ำว่าเขาต้องการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาแสดงท่าทียอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อถามว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงท่าทียอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่สำคัญอย่างไร รังสิมันต์ อธิบายว่า เป็นเรื่องสปิริตของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี กลับกันหากพรรคก้าวไกลเคยเป็นรัฐบาล แล้วพ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งพรรคก้าวไกลจะทำ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้คนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่าประเทศถึงเวลาเดินหน้าต่อ
ส่วนประเด็นที่ ‘วิษณุ เครืองาม’ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องความเป็นไปได้ในการเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ ในกรณีที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขาดคุณสมบัติเซ็นรับรองสมาชิกพรรค จากปมถือหุ้นสื่อไอทีวี ว่าพรรคไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ และแนวทางรับมือไว้แล้ว มั่นใจเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง พร้อมเชื่อว่าจุดประสงค์ที่ วิษณุ ออกมาพูดแบบนี้ เพราะต้องการชี้นำ ส.ว. และสังคม โดยหวังให้เกิดความลังเลใจและนำไปสู่ส้มหล่น พร้อมมองว่าประเด็นที่วิษณุยกกรณีของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มาเปรียบเทียบกัน เป็นคนละกรณีกันขอไม่ออกความเห็น
“ผมเข้าใจว่าจุดประสงค์ของอาจารย์วิษณุ คือพยายามชี้นำ ส.ว.ใช่หรือไม่ เป็นการชี้นำสังคม ที่จะทำให้ ส.ว.เกิดความลังเลใจและนำไปสู่การหวังส้มหล่น ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย คำถามคือทำแบบนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายหรือไม่ เท่ากับไม่เคารพเจตจำนงของประชาชนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง”
รังสิมันต์ ยังขอว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับความเห็นทางการเมืองของวิษณุ แม้ในอดีตวิษณุอาจเป็นปรมาจารย์ด้านกฎหมาย แต่วิษณุไม่ได้ถูกทุกเรื่อง และมองว่าแทนที่จะให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้ ควรจะไปบอกให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีสปิริตเก็บข้าวของออกจากทำเนียบดีกว่า
อีกประเด็นที่ถูกถาม คือ ข้อเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ของ ส.ว.จเด็จ อินสว่าง รังสิมันต์ มองว่า ส.ว.น่าจะติดปัญหาอยู่เรื่องเดียว คือเรื่อง ม.112 แต่ไม่เข้าใจว่าจะตั้งรัฐบาลแห่งชาติไปทำไม หากเชื่อตามนั้นต้องไปยกเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสภาพที่ต้องใช้เงื่อนไขนั้น ยังเชื่อว่ายังสามารถเดินหน้าตั้งรัฐบาลได้ เพราะประเทศยังไม่เผชิญกับวิกฤติขนาดนั้น
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังถาม รังสิมันต์ เรื่องประเด็นที่มีนักร้องเตรียมยื่นตรวจสอบว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล มีพฤติกรรมครอบงำพรรค รังสิมัตน์ ตอบว่า ปิยบุตร เป็นคนหนึ่งที่ชอบวิจารณ์พรรคก้าวไกลมาก และต้องบอกตามตรงว่าพรรคก้าวไกลและปิยบุตร ไม่ได้มีความเห็นตรงกันทุกเรื่อง อีกทั้งปิยบุตร ยังเป็นประชาชนคนหนึ่งที่สามารถวิจารณ์พรรคได้เหมือนประชาชนทั่วไป จึงคิดว่าการที่ปิยบุตร แสดงความเห็นต่างๆ ไม่ใช่การครอบงำพรรคแต่อย่างใด
รังสิมันต์ เปิดประเด็นว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้ยิน พล.อ.ประยุทธ์ เอ่ยแสดงความยินดีต่อพรรคก้าวไกล ที่ชนะการเลือกตั้งเลย และยังไม่เห็นการเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เลย ต่างจากประเทศประชาธิปไตยอื่น ที่ผู้นำรัฐบาลเก่าจะแสดงสปิริตยอมรับความพ่ายแพ้ พร้อมเชื่อว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำแบบนั้น เพราะยังหวังว่าจะมีส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาล และคิดว่าตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะได้เห็นสปิริตและได้ยินการยอมรับความพ่ายแพ้จากปาก พล.อ.ประยุทธ์
รังสิมันต์ ย้ำว่าเขาต้องการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาแสดงท่าทียอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อถามว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงท่าทียอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่สำคัญอย่างไร รังสิมันต์ อธิบายว่า เป็นเรื่องสปิริตของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี กลับกันหากพรรคก้าวไกลเคยเป็นรัฐบาล แล้วพ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งพรรคก้าวไกลจะทำ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้คนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่าประเทศถึงเวลาเดินหน้าต่อ
ส่วนประเด็นที่ ‘วิษณุ เครืองาม’ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องความเป็นไปได้ในการเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ ในกรณีที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขาดคุณสมบัติเซ็นรับรองสมาชิกพรรค จากปมถือหุ้นสื่อไอทีวี ว่าพรรคไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ และแนวทางรับมือไว้แล้ว มั่นใจเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง พร้อมเชื่อว่าจุดประสงค์ที่ วิษณุ ออกมาพูดแบบนี้ เพราะต้องการชี้นำ ส.ว. และสังคม โดยหวังให้เกิดความลังเลใจและนำไปสู่ส้มหล่น พร้อมมองว่าประเด็นที่วิษณุยกกรณีของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มาเปรียบเทียบกัน เป็นคนละกรณีกันขอไม่ออกความเห็น
“ผมเข้าใจว่าจุดประสงค์ของอาจารย์วิษณุ คือพยายามชี้นำ ส.ว.ใช่หรือไม่ เป็นการชี้นำสังคม ที่จะทำให้ ส.ว.เกิดความลังเลใจและนำไปสู่การหวังส้มหล่น ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย คำถามคือทำแบบนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายหรือไม่ เท่ากับไม่เคารพเจตจำนงของประชาชนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง”
รังสิมันต์ ยังขอว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับความเห็นทางการเมืองของวิษณุ แม้ในอดีตวิษณุอาจเป็นปรมาจารย์ด้านกฎหมาย แต่วิษณุไม่ได้ถูกทุกเรื่อง และมองว่าแทนที่จะให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้ ควรจะไปบอกให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีสปิริตเก็บข้าวของออกจากทำเนียบดีกว่า
อีกประเด็นที่ถูกถาม คือ ข้อเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ของ ส.ว.จเด็จ อินสว่าง รังสิมันต์ มองว่า ส.ว.น่าจะติดปัญหาอยู่เรื่องเดียว คือเรื่อง ม.112 แต่ไม่เข้าใจว่าจะตั้งรัฐบาลแห่งชาติไปทำไม หากเชื่อตามนั้นต้องไปยกเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสภาพที่ต้องใช้เงื่อนไขนั้น ยังเชื่อว่ายังสามารถเดินหน้าตั้งรัฐบาลได้ เพราะประเทศยังไม่เผชิญกับวิกฤติขนาดนั้น
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังถาม รังสิมันต์ เรื่องประเด็นที่มีนักร้องเตรียมยื่นตรวจสอบว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล มีพฤติกรรมครอบงำพรรค รังสิมัตน์ ตอบว่า ปิยบุตร เป็นคนหนึ่งที่ชอบวิจารณ์พรรคก้าวไกลมาก และต้องบอกตามตรงว่าพรรคก้าวไกลและปิยบุตร ไม่ได้มีความเห็นตรงกันทุกเรื่อง อีกทั้งปิยบุตร ยังเป็นประชาชนคนหนึ่งที่สามารถวิจารณ์พรรคได้เหมือนประชาชนทั่วไป จึงคิดว่าการที่ปิยบุตร แสดงความเห็นต่างๆ ไม่ใช่การครอบงำพรรคแต่อย่างใด