ร้องสอบ ‘พรรคถิ่นกาขาวฯ’ สิ้นสภาพก่อนเป็น ‘พรรคประชาชน’ สะเทือนโหวต ‘นายกฯ’ ส่อโมฆะ?

18 ส.ค. 2567 - 09:46

  • งานงอก! ‘เรืองไกร’ ร้อง ‘กกต.’ สอบ ‘พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล’

  • สงสัยสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ก่อนกลายมาเป็น ‘พรรคประชาชน’ หรือไม่

  • ชี้ส่งผลประชุมสภาฯ โหวตเลือกนายกฯ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นโมฆะหรือไม่

Ruangkrai-filed-a-complaint-with-ect-to-investigate-TKCV-party-SPACEBAR-Hero.jpg

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า ได้รวบรวมประเด็นข้อกฎหมาย เพื่อยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 โดยในประเด็นของพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ที่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน และมี สส.ในนามพรรคประชาชน เข้าไปร่วมเป็นองค์ประชุมในวันดังกล่าวนั้น หากพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มีเหตุสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองไปแล้ว การเลือกนายกรัฐมนตรีจะชอบหรือไม่ จะเป็นโมฆะหรือไม่

สำหรับประเด็นเกี่ยวข้องทางข้อกฎหมาย ได้แก่

ข้อ 1. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มีมาตราที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

มาตรา 33 ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนพรรคการเมืองต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้

(1) ดำเนินการให้มีจำนวนสมาชิกไม่น้อยกว่า5,000คน และต้องเพิ่มจำนวนสมาชิกให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า10,000คน ภายใน4ปีนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียน

(2) จัดให้มีสาขาพรรคการเมืองในแต่ละภาคตามบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่คณะกรรมการกำหนดอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา โดยสาขาพรรคการเมืองแต่ละสาขาต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของสาขานั้นตั้งแต่500คนขึ้นไป

มาตรา 90 พรรคการเมืองสิ้นสุดลงเมือง (1) สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองตามมาตรา 91

มาตรา 91 พรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง เมื่อ (1) ไม่แก้ไขข้อบังคับให้ถูกต้องหรือครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 17 วรรคสาม หรือไม่สามารถดำเนินการตามมาตรา 33 (1) หรือ (2) ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

มาตรา 141/1 เมื่อมีการประกาศ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก่อนที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าว มีผลใช้บังคับ พรรคการเมืองใดประสงค์จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในเรื่องดังต่อไปนี้ ให้แจ้งให้คณะกรรมการทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 5 วัน และเมื่อได้แจ้งเรื่องดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่าได้รับอนุญาตจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง

(3) จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองหรือแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด พร้อมทั้งแจ้งรายการ ตามมาตรา 33 หรือมาตรา 35

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 สำนักข่าวออนไลน์ลงข่าว “กกต.คอนเฟิร์ม ‘ถิ่นกาขาว’ ตั้งสาขาครบ 4 ภาค ใน 1 ปีตาม กม.กำหนดแล้ว แต่ยังไม่อัพเดตระบบ” ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า

“เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวกรณี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี จะยื่น กกต.ยุบพรรคประชาชน เนื่องจากพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน มีการจัดตั้งสาขาพรรคไม่ครบ 4 สาขา ว่า ตามกฎหมายพรรคการเมือง ทุกกิจกรรมของพรรคจะสมบูรณ์ทันทีเมื่อพรรคได้ดำเนินการ แต่เมื่อยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้วหากพบว่าดำเนินการไม่ถูกต้องก็จะมีผลย้อนหลังให้การกระทำนั้นเสียไป ซึ่งในกรณีการจัดตั้งสาขาพรรคของพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลนั้นพบว่า 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีการประชุมจัดตั้งสาขาพรรคในส่วนที่ขาดอยู่จนครบ และระยะเวลาการจัดตั้งก็อยู่ภายใน 1 ปี ที่กฎหมายกำหนด ขณะนี้มีการจะส่งเรื่องมาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบตามขั้นตอน”

ข้อ 3. กรณีตามข่าวที่ระบุว่า “...ซึ่งในกรณีการจัดตั้งสาขาพรรคของพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล นั้นพบว่า 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีการประชุมจัดตั้งสาขาพรรคในส่วนที่ขาดอยู่จนครบ และระยะเวลาการจัดตั้งก็อยู่ภายใน 1 ปีที่กฎหมายกำหนด...” นั้นอาจจะคลาดเคลื่อนไปจากมาตรา 33 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ทั้งนี้ เทียบเคียงกรณีตามประกาศ กกต. เรื่องพรรคสยามพล สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง

ข้อ 4. ตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง พรรคสยามพล สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 (ลงราชกิจจา วันที่ 25 มกราคม 2567) มีเนื้อหาระบุว่า

“ตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีประกาศนายทะเบียนพรรคการ เมือง ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2565 เรื่อง การจดทะเบียนจัดตั้งพรรคสยามพล ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรค การเมือง พ.ศ. 2560 นั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 พรรคสยามพลไม่สามารถดำเนินการให้มีจำนวนสมาชิกไม่น้อยกว่า 5,000 คน และจัดให้มีสาขาพรรค การเมืองในแต่ละภาคตามบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง กำหนดอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนพรรคการเมืองรับจดทะเบียน

จึงเป็นเหตุให้สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรค การเมือง พ.ศ. 2560 คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงประกาศให้พรรคสยามพล สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”

ข้อ 5. จากการตรวจสอบในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา พบประกาศของนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่องการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ที่ลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2562 ที่ระบุไว้บางส่วน ดังนี้

“ตามที่มาตรา 140 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ลงวันที่ 22 ธันวาคม พุทธศักราช 2560 กำหนดให้พรรคการเมืองที่จัดตั้ง หรือเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 และยังดำรงอยู่ก่อนวันที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ใช้บังคับเป็นพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป.นั้น

บัดนี้ หัวหน้าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ได้มีหนังสือแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามมาตรา 38 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 กรณีพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ได้ดำเนินการจัดประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค จัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง นโยบายของพรรค และการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลชุดใหม่

ซึ่งพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ได้ดำเนินการตามมาตรา 141/1 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2561”

ข้อ 6. ข้อบังคับพรรคฯ พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล พ.ศ. 2561 ข้อ 28 ระบุว่า “ภายใน1 ปี นับแต่วันที่มีประกาศพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ในราชกิจจานุเบกษาต้องดำเนินการให้มีสาขาพรรคในแต่ละภาค ตามบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด อย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา โดยสาขาพรรคแต่ละสาขาต้องมีสมาชิกพรรคที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเขตจังหวัดตั้งแต่ห้าร้อยคนขึ้นไป”

ข้อ 7. ตามข่าวของสำนักข่าวออนไลน์ วันที่ 11 สิงหาคม 2567 ที่ แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง ระบุว่า “...ซึ่งในกรณีการจัดตั้งสาขาพรรคของพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลนั้น พบว่า 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีการประชุมจัดตั้งสาขาพรรคในส่วนที่ขาดอยู่จนครบ และระยะเวลาการจัดตั้งก็อยู่ภายใน 1 ปีที่กฎหมายกำหนด...” นั้นอาจไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนดบังคับไว้ เพราะหากพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลพึ่งมีการจัดตั้งสาขาของพรรคถิ่นกาขาวเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2567 ทั้งที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับพรรคการเมืองไปแล้วตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561

ดังนั้น การที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ข่าวว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล เพิ่งมาตั้งสาขาพรรคเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2567 กรณีย่อมมีเหตุให้พิจารณาว่า การตั้งสาขาพรรค เมื่อต้นสิงหาคม 2567 นั้น เกินกำหนดระยะเวลาภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนพรรคการเมืองกำหนดระยะเวลา ตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่ และเป็นเหตุให้พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ต้องสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง ไปแล้วหรือไม่

ข้อ 8. ดังนั้น หากเทียบกับกรณีของพรรคสยามพล ที่สิ้นสภาพตามประกาศ กกต.ดังกล่าว กรณีจึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต. ตรวจสอบต่อไปว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มีเหตุต้องสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 แล้วหรือไม่

ข้อ 9. หากพรรคพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มีเหตุต้องสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง ปัญหาการเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน จะชอบหรือไม่ 

และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าไปทำหน้าที่เป็นองค์ประชุมในนามพรรคประชาชน ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 จะชอบหรือไม่ 

และผลโหวตให้บุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี จะตกเป็นโมฆะหรือไม่

ขอให้ กกต.ตรวจสอบว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชน ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 แล้วหรือไม่ และส่งเรื่องต่อให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ว่าชอบหรือไม่

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์