แซะเจ็บ! ก่อนเป็นรัฐบาลโว ‘ปิดสวิตช์ 3 ป.-สว.’ ฟุ้งคนไทยมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ยังก้องอยู่ในหู

25 มี.ค. 2567 - 07:48

  • ‘เฉลิมชัย’ ซัด ‘กกต.’ ปล่อยผ่าน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ละเว้นหน้าที่

  • ชี้ตอนแรกประกาศใช้งบฯ แต่สุดท้ายจบที่ ‘กู้เงิน’ ข้องใจ ‘ซื้อเสียง’ หรือไม่

  • ย้อนเจ็บ! ก่อนเป็นรัฐบาลคุย ‘ปิดสวิตซ์ 3 ป.-สว.’ โวคนไทยมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ยังก้องอยู่ในหู

  • ถาม ‘จุลพันธ์’ ใครจะดักตีหัว แนะยังกลับตัวทัน ยอมสารภาพว่าทำไม่ได้ ดีกว่า ‘ติดคุกหัวโต’

Senators-criticize-government-over-digital-wallets-SPACEBAR-Hero.jpg

บรรยากาศยังเป็นไปด้วยความดุเดือดสำหรับ ศึกการประชุมวุฒิสภา (สว.) พิจารณาญัตติด่วน ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153

โดยขณะที่ เฉลิมชัย เฟื่องคอน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ลุกขึ้นอภิปรายนั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เข้ามาในห้องประชุม ฝ่าย สว.จึงถามถึงนโยบายเปลี่ยน ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ซึ่งขณะนี้ไม่รู้แจกไปกี่ฉบับ แต่กลับมาสะดุดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งขัดแย้งกับกรมอุทยานฯ แถมส่อทุจริต

เฉลิมชัย ชี้ให้เห็นถึงการที่รัฐมนตรีออกมาสนับสนุน สปก.เต็มที่ แต่ภายหลังท่าทีเปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าถูกแรงกดดันจากอะไร นอกจากนี้ ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการประมงด้วยการแก้ไขกฎหมาย จะแก้อย่างไร ทั้งนายกรัฐมนตรี และ ร.อ.ธรรมนัส ก็ไปลงพื้นที่บอกกับชาวบ้านสมุทรสาคร-สมุทรสงครามไว้

เรื่องนี้ ครัวเรือนพูดกันทั่วไปว่า นายกรัฐมนตรีที่ชื่อเศรษฐา จะพาคนไทยไปเป็นเศรษฐี ปิดสวิตช์ สว. ปิดสวิตช์ 3 ป. เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ประเทศไทยเปลี่ยนทันที คนไทยมีกินมีใช้ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ยังก้องอยู่ในโสตประสาทคนไทยทั่วประเทศ ท่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทยท่านว่าไว้ ตอนนี้คนไทยเป็นอย่างไร ประเทศไทยตอนนี้มีหนี้ครัวเรือน 92% ของจีดีพี หรือประมาณ 6.2 ล้านล้านบาท ขอถามนายกรัฐมนตรีว่าท่านจะแก้ไขอย่างไร

เฉลิมชัย เฟื่องคอน

เฉลิมชัย ยังอภิปรายถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต โดยชี้ให้เห็นถึงกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ กำหนดว่า ให้มีกลไกความรับผิดชอบทางการเมืองที่ไม่ได้วิเคราะห์ผลกระทบ นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงินตามประกาศโฆษณานโยบายนั้น อย่างน้อยต้องมีรายละเอียดวงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงิน ความคุ้มค่าผลกระทบและความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายนี้ จากเอกสารแจกแจงรายละเอียดที่เผยแพร่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุว่า พรรคเพื่อไทย แกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่าจะแจกเงินให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ประมาณ 56 ล้านคน เป็นเงินประมาณ 5.6 แสนล้านบาท โดยใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เฉลิมชัยอภิปราย ทางนายกรัฐมนตรีได้ลุกออกไปจากห้องประชุม ทำให้เฉลิมชัย กล่าวด้วยท่าทีมีอารมณ์ว่า “ท่านฟังผมด้วยนะครับ อย่าให้รัฐมนตรีช่วยฟังผมอย่างเดียว ท่านต้องฟังผมด้วย ถ้าท่านนายกฯ ไม่มานั่งฟัง เขาก็ไม่ได้เรียกคณะรัฐมนตรีนะ คณะรัฐมนตรีตามมาตรา 158 ประกอบไปด้วยนายกฯ กับรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น คณะรัฐมนตรีก็ต้องมีนายกฯ ท่านออกไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวท่านก็กลับมา ก็ให้อภัย”

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีประกาศทุกเวทีว่า จะไม่กู้เงิน แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร ยังไม่รู้จะไปไหน โดยมีข้อสังเกตว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลมีลักษณะสัญญาว่าจะให้

ใส่ซองพันสองพันก็ยังผิด อันนี้หาเสียงโจ๋งครึ่มเลย อาจจะผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 73(1) ที่ห้ามไม่ให้ผู้สมัครผู้ใดเสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด มีโทษจำคุกหนึ่งถึง 10 ปีปรับ 20,000 ถึง 200,000 เพิกถอนสิทธิ์ 20 ปี

เฉลิมชัย เฟื่องคอน

แต่ กกต.กลับบอกว่า ทำได้ เพราะใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล ได้ระบุว่านโยบายนี้จะทำหน้าที่เป็นชนวนกระตุกเศรษฐกิจของประเทศ เป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ ขยายกิจการผลิตสินค้า เกิดการจ้างงานการหมุนว่างานเศรษฐกิจอีกหลายรอบ เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และมีการแถลงนโยบาย 11 กันยายน 2566

แต่กลับไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายเติมเงินดิจิทัล จึงตั้งข้อสังเกตว่า จะเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 162 หรือไม่ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ

ผมดูคำแถลงนโยบายมี 42 หน้า หายไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ 42 หน้า ไม่ได้บอกว่าเอาเงินมาจากไหนเหมือนที่โฆษณาหาเสียง และนายกเศรษฐาก็ไม่ได้พูดนอกเหนือจากคำแถลงนโยบาย

เฉลิมชัย เฟื่องคอน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวอ้างวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งมีเงื่อนไขเปลี่ยนไป ทำให้ต้องกู้เงิน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า หน่วยงานไหนจะรับผิดชอบ

ตอนหาเสียงบอกจะใช้งบประมาณ 2567 ตั้งรัฐบาลได้บอก ผมขอกู้ เป็นข้อบ่งชี้ว่าการหาเสียงที่ไม่มีความพร้อม ไม่มีความรับผิดชอบ สักแต่จะให้ชาวบ้านเลือก

เฉลิมชัย เฟื่องคอน

เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บอกว่า การหาเสียงแบบนี้ จะเป็นบรรทัดฐานต่อไปสำหรับพรรคการเมือง จึงขอกล่าวหาด้วยวาจา ว่าการที่ กกต.ใช้ดุลยพินิจในนโยบายดิจิทัล บอกว่า ทำได้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 162 หรือไม่ ถ้าขัด ก็เป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง พร้อมถามว่า “ป.ป.ช.เปิดโทรทัศน์ดูหรือเปล่า? ถ้าเปิดดู ขอให้ทราบว่าผมกล่าวหาไปแล้ว ในเมื่อ กกต.บอกว่าทำได้ ก็ไปคุยกันที่ ป.ป.ช.”

เฉลิมชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังบอกว่า ปัญหาเศรษฐกิจยังไม่วิกฤต เพียงแต่ชะลอตัว นายกรัฐมนตรีก็เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก เลื่อนต่อไป นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นั่งอยู่ตรงนี้ก็บอกว่าแจกแน่นอน แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ เพราะมีคนคอยดักตีหัวอยู่

ผมถามว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่แจก เจ๊งเลยนะ เพราะเป็นนโยบายที่คนที่ชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เสียงดังฟังชัดหาเสียงไว้

เฉลิมชัย เฟื่องคอน

ก่อนย้ำว่า หากทำไม่ได้ก็ยอมรับกับประชาชน จะได้ไม่ติดคุกหัวโต

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์