วันนี้ (11 ก.ย.) นับเป็นครั้งแรกที่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้าปฎิบัติงานที่รัฐสภา หลังได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โดยมีภารกิจนำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ทันทีที่เดินทางมาถึง ‘เศรษฐา’ ได้นำพวงมาลัยมาสักการะศาลพระสยามเทวาธิราช, พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระภูมิชัยมงคล และศาลตายายประจำรัฐสภา โดยถือฤกษ์ 07.59 น.
‘เศรษฐา’ บอกว่าวันนี้เขาตื่น 06.30 น. ตามปกติ และพร้อมที่จะนำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่มีปัญหาอะไร
จากนั้น ‘เศรษฐา’ ได้นั่งรถกอล์ฟ ไปสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประดิษฐานบนพระที่นั่งพุดตาน ณ พิพิธภัณฑ์รัฐสภา และเข้ามาภายในอาคารรัฐสภาสักการะพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสเดินทางเข้ารัฐสภาเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ และได้ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองประเทศด้วย
ก่อนขึ้นห้องประชุม ‘เศรษฐา’ ให้สัมภาษณ์ว่ากับสื่อมวลชนถึงความรู้สึกหลังเข้าสภาฯ เป็นครั้งแรกว่า มีหลายความรู้สึก ทั้งรู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้น เพราะไม่เคยมาเลย และหลังเยี่ยมชมสภาฯ แล้ว รู้สึกอลังการดี ส่วนการแถลงวันนี้ไม่กังวลอะไร เพราะเตรียมตัวมาดี และทีมงานแบ่งงานกันเรียบร้อยแล้ว
ส่วนประเด็นที่มีการเรียกร้องให้ ‘นายกฯ’ ให้ความสำคัญกับการเข้าสภาฯ เพื่อมาฟังและตอบกระทู้ของ สส. ‘เศรษฐา’ บอกว่าถ้าไม่ติดภารกิจอะไรจะพยายามเข้าให้เยอะที่สุด เท่าที่จะทำได้ และวันนี้เขาเองก็จะอยู่ฟังจนจบการประชุม
เมื่อถามว่าหลังทำงานมา 1 สัปดาห์แล้ว ยังจะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อนหรือไม่ ‘เศรษฐา’ ย้ำว่าจะทำเหมือนเดิม รวมถึงทำงานช่วงเสาร์-อาทิตย์ด้วย แต่ถ้าเหนื่อยก็พัก
สำหรับการแถลงนโยบายในส่วนของกระทรวงการคลัง ‘เศรษฐา’ บอกว่าไม่ใช่เเค่เขาคนเดียวที่ชี้แจงเรื่องนี้ เป็นการช่วยกันของทุกคน และเขาเองพร้อมชี้แจงและตอบทุกคำถามเกี่ยวกับนโยบายเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวมถึงไม่หนักใจที่พรรคก้าวไกลตั้งขุนพลอภิปรายไว้ถึง 30 คน มองว่าเป็นหน้าที่ของ สส. ทุกคนที่จะตั้งคำถามต่อฝ่ายบริหาร เป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรทำแล้ว
ส่วนเรื่องนโยบายไม่ตรงปกกับที่หาเสียงไว้ ‘เศรษฐา’ บอกว่าขอให้รอฟังคณะรัฐมนตรีชี้แจงก่อน ส่วนนโยบายกัญชา ย้ำว่าต้องเป็นกัญชาสำหรับใช้ทางการแพทย์นั้น
ช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวถามว่าวันนี้อยากเห็นบรรยากาศในที่ประชุมอย่างไร ‘เศรษฐา’ บอกว่าอยากเห็นบรรยากาศของความสมัครสมานสามัคคี และลดเรื่องความขัดแย้งลง
ทันทีที่เดินทางมาถึง ‘เศรษฐา’ ได้นำพวงมาลัยมาสักการะศาลพระสยามเทวาธิราช, พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระภูมิชัยมงคล และศาลตายายประจำรัฐสภา โดยถือฤกษ์ 07.59 น.
‘เศรษฐา’ บอกว่าวันนี้เขาตื่น 06.30 น. ตามปกติ และพร้อมที่จะนำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่มีปัญหาอะไร
จากนั้น ‘เศรษฐา’ ได้นั่งรถกอล์ฟ ไปสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประดิษฐานบนพระที่นั่งพุดตาน ณ พิพิธภัณฑ์รัฐสภา และเข้ามาภายในอาคารรัฐสภาสักการะพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสเดินทางเข้ารัฐสภาเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ และได้ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองประเทศด้วย
ก่อนขึ้นห้องประชุม ‘เศรษฐา’ ให้สัมภาษณ์ว่ากับสื่อมวลชนถึงความรู้สึกหลังเข้าสภาฯ เป็นครั้งแรกว่า มีหลายความรู้สึก ทั้งรู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้น เพราะไม่เคยมาเลย และหลังเยี่ยมชมสภาฯ แล้ว รู้สึกอลังการดี ส่วนการแถลงวันนี้ไม่กังวลอะไร เพราะเตรียมตัวมาดี และทีมงานแบ่งงานกันเรียบร้อยแล้ว
ส่วนประเด็นที่มีการเรียกร้องให้ ‘นายกฯ’ ให้ความสำคัญกับการเข้าสภาฯ เพื่อมาฟังและตอบกระทู้ของ สส. ‘เศรษฐา’ บอกว่าถ้าไม่ติดภารกิจอะไรจะพยายามเข้าให้เยอะที่สุด เท่าที่จะทำได้ และวันนี้เขาเองก็จะอยู่ฟังจนจบการประชุม
เมื่อถามว่าหลังทำงานมา 1 สัปดาห์แล้ว ยังจะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อนหรือไม่ ‘เศรษฐา’ ย้ำว่าจะทำเหมือนเดิม รวมถึงทำงานช่วงเสาร์-อาทิตย์ด้วย แต่ถ้าเหนื่อยก็พัก
สำหรับการแถลงนโยบายในส่วนของกระทรวงการคลัง ‘เศรษฐา’ บอกว่าไม่ใช่เเค่เขาคนเดียวที่ชี้แจงเรื่องนี้ เป็นการช่วยกันของทุกคน และเขาเองพร้อมชี้แจงและตอบทุกคำถามเกี่ยวกับนโยบายเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวมถึงไม่หนักใจที่พรรคก้าวไกลตั้งขุนพลอภิปรายไว้ถึง 30 คน มองว่าเป็นหน้าที่ของ สส. ทุกคนที่จะตั้งคำถามต่อฝ่ายบริหาร เป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรทำแล้ว
ส่วนเรื่องนโยบายไม่ตรงปกกับที่หาเสียงไว้ ‘เศรษฐา’ บอกว่าขอให้รอฟังคณะรัฐมนตรีชี้แจงก่อน ส่วนนโยบายกัญชา ย้ำว่าต้องเป็นกัญชาสำหรับใช้ทางการแพทย์นั้น
ช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวถามว่าวันนี้อยากเห็นบรรยากาศในที่ประชุมอย่างไร ‘เศรษฐา’ บอกว่าอยากเห็นบรรยากาศของความสมัครสมานสามัคคี และลดเรื่องความขัดแย้งลง
