‘ศิริกัญญา’ ยก 4 เหตุผล! ค้าน ‘งบฯเติมดิจิทัลวอลเล็ต’ อัดเล่นแร่แปรธาตุกู้จนสุดเพดาน

31 ก.ค. 2567 - 10:50

  • ‘ศิริกัญญา’ ซัด ‘งบฯเติมดิจิทัลวอลเล็ต’ จะเล่นแร่แปรธาตุอย่างไรดอกเบี้ยไม่เคยหลอกใคร

  • ยก 4 เหตุผล ค้านสุดลิ่ม อัดกู้จนสุดเพดานโครงการเปลี่ยนไปมาไร้ชัดเจน

  • ‘รมช.คลัง’ ยันทำตามกรอบกฎหมาย มีมาตรการเข้มป้องกันรั่วไหล คุ้มค่า ปชช.ได้ประโยชน์

Sirikanya-raises-4-reasons-for-opposing-digital-wallet-top-up-budget-SPACEBAR-Hero.jpg

รัฐสภา (31กรกฎาคม 2567) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วาระ2 และวาระ 3 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่ใช้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว

ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้แปรญัตติ อภิปรายว่า ตนขอแปรญัตติในมาตรา3 เพื่อจะปรับลดงบประมาณให้เหลือ 10,000 ล้านบาท ด้วย 4 เหตุผล เหตุผลแรก เราไม่ควรจะกู้เพิ่มอีกแล้ว โดยฐานะทางการคลังของประเทศ วันนี้มันยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่มันปริ่มเพดานไปหมด ไต่ขอบไต่เส้นไปซะทุกอย่าง 

“หนี้สาธารณะท่านจะเล่นแร่แปรธาตุอย่างไรก็ตาม แต่ดอกเบี้ยมันไม่หลอกใคร ในปีงบ 67 68 เราทราบกันดีว่ามีการตั้งงบสำหรับการชำระดอกเบี้ยไว้ไม่พอ ปีที่แล้ว ตั้งไว้ 200,000 กว่าล้าน ยังต้องใช้เงินคงคลังเพิ่มอีก 40,000 ล้านบาท ปี 68 ก็น่าจะไม่พออีกเช่นเดียวกัน ทั้งที่ตั้งไว้ 260,000 กว่าล้าน ปี 69 เฉพาะดอกเบี้ยอย่างเดียว จะขึ้นไป370,000 ล้านบาท หรือ 12% ของรายได้รัฐบาล พอปี 71 ก็สูงขึ้นเกือบ 500,000 ล้านบาท นี่เราไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว เราหารายได้เท่าไหร่ เก็บภาษีได้เท่าไหร่ เอาไปใช้จ่ายเป็นดอกเบี้ยซะทั้งหมด รวมเงินต้นด้วย ก็จะขึ้นไปเกือบ20% มันเป็นปัญหาที่จะผูกพันเราไปอีกในอนาคต ดิฉันจึงเสนอว่าไม่ควรกู้เพิ่มอีกต่อไป”

ศิริกัญญา กล่าวว่า การกู้เงินครั้งนี้เป็นการกู้แบบสุดเพดานไม่กะว่าจะต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด จะเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า กรรมาธิการได้สอบถามหรือไม่ว่ามีการประมาณการรายได้ของปี 67 ไว้หรือไม่ และประเมินว่าจะเก็บพลาดเป้าเท่าไหร่ 

ตนสังเกตการณ์อยู่ในห้อง ตัวแทนจากกระทรวงการคลังเองบอกว่าประมาณแล้ว แต่ไม่บอกว่าเป็นเท่าไหร่ บอกว่าขอให้เชื่อมั่น ขอให้มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วจะไม่มีปัญหา แต่ตัวเลข 9 เดือนออกมาแล้ว กรมสรรพสามิตก็แถลงแล้วว่าเก็บพลาดเป้าเกือบ 60,000 ล้านบาท แต่เราก็ยังมากู้เพิ่มจนสุดเพดาน ถือเป็นการสร้างความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นต่อระบบการคลัง จึงขอยืนยันว่าตนให้งบเพิ่มเติมได้เท่าที่รัฐบาลหารายได้มาได้ 

ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เหตุผลที่ 2 ถึงจะกู้ได้ก็ใช้ภายในปีงบประมาณตามกฎหมาย ซึ่งการจะเป็นหนี้ได้ก็ต้องมีระเบียบมารองรับ ตนมองว่าจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานผิดๆ ในอนาคต ซึ่งในห้องกรรมาธิการไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นสัญญาประเภทใด ถ้าเป็นสัญญาให้ไม่ถือว่าเป็นการก่อหนี้เหมือนฟ้องร้องกันไม่ได้ 

เหตุผลที่ 3 ต้องทำให้สัดส่วนรายจ่ายลงทุนถูกต้องตามกฎหมาย มองว่าเป็นการทำผิดกฎหมายอีกรอบหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีการชี้แจงในห้องกรรมาธิการว่าทำไมถึงคิดว่ารายจ่ายของดิจิทัลวอลเล็ตเป็นรายจ่ายลงทุนถึง 80% ซึ่งพอเข้ามาชี้แจงในห้องวิปฝ่ายค้านก็มีการเปลี่ยนแปลงอีก ใช้วิธีการวิเคราะห์ให้เกิดดอกผลกับไม่เกิดดอกผล แล้วบอกว่าส่วนที่เกิดดอกผลคือรายจ่ายลงทุน

“ไอ้ที่มันจะเข้าว่าเป็นรายจ่ายลงทุนจริงๆ พยายามค้นหาแล้ว ประชาชนช่วยการสแกน QR Code เข้าไปหานะคะ มีค่าที่จะไปซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ จ่ายเป็นค่าเช่าบ้านตีความอย่างกว้าง ใจกว้างที่สุดแล้ว ว่าเป็นรายจ่ายลงทุน มี 13% เท่านั้นเอง มันมีปัญหาแน่ๆ นะคะ มาตรา 20 (1) เราต้องมีรายจ่ายลงทุนมากกว่าที่เรากู้เพื่อชดเชยขาดดุล 805,000 ล้านบาท แต่ท่านกลับเอาค่าใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคตามปกติของครัวเรือนที่เป็นค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟมาบอกว่าเป็นรายจ่ายลงทุนได้ ดิฉันคิดว่ามันเกินเลยไปมาก มาตรา 20 (1) ไม่ทำก็ได้ ก็แค่บอกกับสภาฯ แต่ท่านพยายามบิดกฎหมาย” ศิริกัญญา กล่าว

ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า และเหตุผลที่ 4 ยังไม่คุ้มค่าที่จะทำ แหล่งที่มาของเงินเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นจากเดิมที่เคยประเมินเอาไว้ว่าจะโตได้ 1.2-1.8 % มันจะไม่เท่าเดิมอีกต่อไปแล้ว ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังก็ออกมาบอกในห้องประชุมกรรมาธิการ ตนได้ยินกับหูว่าเขาประเมินให้ใหม่แล้ว เหลือเพียง 0.9 % แต่พอแถลงข่าวรัฐมนตรีช่วยฯ ก็กลับไปใช้ตัวเลข 1.2-1.8% ใช้ตัวเลขสูงไว้ก่อน 

“ยิ่งสะท้อนว่าโครงการนี้ไม่ได้มีการประเมินความคุ้มค่า ท่านอาจจะบอกว่าโครงการนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้เลย ไม่รู้ว่าจะประมาณการอย่างไร แต่เราสามารถจะประเมินขั้นต่ำขั้นสูงกันได้อยู่แล้ว ถ้าโครงการนี้มันมีการประเมินอย่างรอบคอบรอบด้าน แต่เนื่องจากมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแบบนี้ สรุปว่าไม่รู้จะใช้ตัวเลขไหนกันแน่ และเอกสารงบประมาณก็ไม่ได้มีการระบุตัวเลขไว้อย่างชัดเจน ดิฉันจึงไม่สามารถที่จะเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก”

Sirikanya-raises-4-reasons-for-opposing-digital-wallet-top-up-budget-SPACEBAR-Photo01.jpg

ด้าน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รมช.คลัง) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมาก ชี้แจงว่า การนำเงินไปใช้จ่ายผิดประเภท ไม่ว่าจะเป็นการที่ประชาชนไปคุยกับร้านค้าแล้วนำเงินสดออกมาโดยที่ไม่รับหรือแลกเปลี่ยนสินค้า นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมาตรการป้องกันสิ่งเหล่านี้อย่างเข้มข้น 

โดยมีการพูดคุยกับ สพร. เพื่อกำหนดระบบการตรวจสอบเบื้องต้น และนำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงไปในพื้นที่ที่พบการใช้จ่ายอย่างน่าสงสัย กลไกการเก็บฐานข้อมูลทั้งหมดผ่านระบบบล็อคเชน จะทำให้ข้อมูลที่มีไม่สามารถแก้ไขได้ ข้อมูลที่มีทั้งหมดจะสามารถนำกลับมาตรวจสอบย้อนกลับได้หากมีการใช้จ่ายผิดประเภท 

ดังนั้นเราเชื่อมั่นว่ามีการป้องกันอย่างเข้มงวด เราพยายามป้องกันการรั่วไหลของเม็ดเงินรัฐ แต่ไม่ถึงกับจำกัดจนกระทั่งซื้ออะไรไม่ได้เลย เรามีลิสต์สินค้าที่ไม่สามารถใช้จ่ายได้ประมาณ10กว่ารายการเท่านั้นไม่ได้ยาวเป็นร้อยเป็นพัน หมายความว่าสินค้าอีกจำนวนมากก็สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามปกติ 

“แน่นอนว่ามันมีความเปลี่ยนแปลง มันต่างจากการแจกเงินสดแน่นอน ถ้าเรายังจะย่ำอยู่กับที่ จ่ายเป็นเงินสดทุกครั้งๆ แล้วเราไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ ไม่สามารถกำหนดสิ่งที่รัฐบาลเติมเงินเข้าไปแล้วอยากจะกำกับให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ เกิดประโยชน์กับสังคมในมิติใด เราก็จะจ่ายเป็นเงินสด แล้วเราก็ไปหวังว่าเขาจะจ่ายที่ท่านต้องการแต่มันไม่เคยเกิด เราจะเดินซ้ำรอยเดิมๆ โดยที่ไม่แก้ไขปรับเปลี่ยนกลไก เป็นไปไม่ได้ วันนี้รัฐบาลนำเทคโนโลยีแบบใหม่เข้ามาเพื่อกำกับให้เงินที่เติมเข้าไปเกิดประโยชน์สูงสุด”  รมช.คลัง กล่าว

รมช.คลัง กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการมองกันว่าโครงการจะกระจุกตัวอยู่ที่รายใหญ่ อาจไม่มีตัวเลขที่เราคาดหวังว่าเป็นสัดส่วนเท่าใดที่จะไปลงกับร้านใหญ่ หรือร้านเล็ก แต่เราไม่ได้แทรกแซงกลไกการตลาด แต่อย่างน้อยการกำหนดการใช้จ่ายขั้นต้นในระดับอำเภอ 57 อำเภอทั่วประเทศ ที่มีร้านค้าขนาดใหญ่ มีห้างสรรพสินค้า ส่วนมากอยู่ในอำเภอเมือง กับ กทม. ถูกตัดออกไปจากการใช้จ่าย ถือเป็นการสร้างโอกาสให้ร้านเล็กระดับชุมชนมีโอกาสในการแข่งขัน ขณะที่กรณีมีประชาชนไปใช้จ่ายร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ เรากำกับว่าเมื่อเม็ดเงินลงไปแล้ว จะต้องไหลไปอีกต่อ คือมีการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า 

รมช.คลัง กล่าวต่อว่า เราเชื่อว่าด้วยกลไกที่เรามีจะสามารถทำให้เกิดการหมุนเวียนและกระจายตัวอย่างเหมาะสม ทั้งร้านใหญ่ หรือร้านเล็ก ทุกคนก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน ยืนยันว่าทั้งหมดอยู่ในกรอบของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 

“การที่บอกว่าจะต้องเป็นหนี้หรือไม่ ผมได้ชี้แจงตามข้อกฎหมายไปหมดแล้วทุกประการ ขึ้นอยู่กับท่านว่าไม่เชื่อ หรือเลือกที่จะไม่เชื่อ ทั้งหมดเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ไม่มีข้าราชการคนไหนจะกล้าไปทำผิดกฎหมายที่ตัวเองเป็นคนถือเพื่อรัฐบาล เป็นไปไม่ได้หากผิดหรือขัดต่อกฎหมายเราก็ไม่พร้อม ยืนยันว่าสิ่งเราทำอยู่ทั้งหมด เป็นไปตามกรอบกฎหมายทุกประการ มีหน่วยงานชี้แจงครบถ้วน เราถึงมั่นใจนำเข้าสู่สภาฯ และพิจารณาในวันนี้ โครงการนี้มีความคุ้มค่าและจะเกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมขอยืนตาม กมธ.เสียงข้างมากมีมติ”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์