ภายหลัง ‘ขั้วสี่กุมาร’ ถูกขับพ้นพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับ ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ ที่ถอนตัวออกจาก ‘รัฐบาลประยุทธ์’ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ ‘ปฏิบัติการยึดพรรคคืน’ จากขั้ว ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ้าของพรรค พปชร. ตัวจริง ภายใต้ขั้วอำนาจ ‘3ป.’ โดยใช้ ‘สี่กุมาร’ เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เพื่อไม่ให้ดูเป็น ‘พรรคทหาร’ มากจนเกินไป ทำให้ ‘สมคิด’ ซัดคืนในวันรับตำแหน่งประธานพรรคว่า รัฐบาลยุคหลัง คสช. แบ่งกระทรวงแบบ ‘บุปเฟต์คาบิเนต’ ทำ ‘สี่กุมาร’ กระเด็นจากพิษแสวงหาอำนาจ ไม่แสวงหาปัญญา
ที่ผ่านมากลุ่มสี่กุมารนิ่งเงียบทางการเมืองมานาน แต่เป็นที่รู้กันในวงการเมืองว่า ‘ซุ่มเงียบ’ ทำพรรคใหม่เพื่อลงสนามเลือกตั้งครั้งหน้า โดยขยับตัวเองให้เป็นข่าวตามวงรอบเท่านั้น จนนำมาสู่การเปิดตัว ‘พรรคสร้างอนาคตไทย’ โดยมีบรรดาอดีต ส.ส. และแกนนำ พปชร. ที่อยู่ในขั้วสี่กุมารลาออกมาสบทบสร้างทัพใหม่
จุดยืนของพรรคสร้างอนาคตไทย ยังไม่ชัดเจนใน ‘เชิงอุดมการณ์’ จะเป็น ‘พรรคซ้าย-ขวา’ หรือ ‘เอา-ไม่เอา’ ขั้วอำนาจ 3ป. เพราะไม่ต้องการเลือกข้างชัดเจน ทำให้พรรคถูกจัดไปในกลุ่ม ‘ขั้วที่ 3’ ที่จะเก็บเก้าอี้ ส.ส. มาต่อรอง ‘ร่วมรัฐบาล’ ไม่ว่าฝ่ายใดจะขึ้นมามีอำนาจก็ตาม โดยขับเน้นความเป็น ‘พรรคมือเศรษฐกิจ’ ผ่านภาพของสี่กุมารที่มีความเป็น ‘เทคโนแครต’ อยู่เดิม ซึ่งที่ผ่านมาก็เน้นนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยพรรคก็รู้ถึงจุดอ่อนตัวเองที่ยังขาด ‘ฐานเสียง’ จึงพยายามดึง อดีต ส.ส. หรือ ‘อดีตบ้านใหญ่’ ในแต่ละพื้นที่ เข้ามาเสริมทัพ รวมทั้งพยายามดึง อดีตผู้บริหารเอกชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน อีกด้วย
การเปิดตัว ‘สมคิด’ ขึ้นเป็น ประธานพรรคฯ หลัง ‘กั๊ก’ มานาน ก็ไม่เกินความคาดหมายใดๆ เพราะ ‘สมคิด’ ถูกมองว่าเป็น ‘หัวหน้าพรรคตัวจริง’ มาโดยตลอด ซึ่งการที่ ‘สมคิด’ เปิดตัวร่วมพรรคสร้างอนาคตไทย ต่างเชื่อกันว่าจะเป็น ‘แม่เหล็กทางการเมือง’ ระดมคนและทรัพยากรต่างๆ ให้กับพรรคได้มากขึ้น เพราะ ‘สมคิด’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีต รมว.คลัง มีประสบการณ์บริหารงานเศรษฐกิจ การเงินการคลัง การธนาคาร การค้าระหว่างประเทศ เป็น ‘มือเศรษฐกิจ’ ที่ได้รับความยอมรับในแวดวงธุรกิจ โดยก่อนมาสมัครพรรคสร้างอนาคตไทย ได้ลาออกจากตำแหน่ง ปธ.กรรมการ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่มสหพัฒน์ ถึงขั้นที่พรรคสร้างอนาคตไทย ยกให้เป็น ‘จอมยุทธ์กวง-มือเศรษฐกิจขั้นเทพ’ ในงานวันเปิดตัว
ย้อนกลับไปยุคที่ ‘สมคิด’ เว้นวรรคการเมือง หลังรัฐบาลทักษิณล่มสลาย จากเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 ได้ตั้ง ‘กลุ่มธรรมาธิปไตย’ ขึ้นมาก่อนไปร่วมก่อตั้ง ‘พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา’ ที่มี ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์, เอนก เหล่าธรรมทัศน์, พิจิตต รัตตกุล และ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นแกนหลักเพื่อลงเลือกตั้งช่วงปี 2550
ก่อนจะมาตั้ง ‘มูลนิธิสัมมาชีพ’ ช่วงปี 2552 ที่มุ่งเน้น ‘เศรษฐกิจฐานราก-รากหญ้า’ จับมือกับองค์กร-เครือข่ายต่างๆ โดย ‘สมคิด’ เป็น ปธ.คณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพ และมี นพ.ประเวศ วะสี เป็น ปธ.คณะกรรมการที่ปรึกษา มูลนิธิสัมมาชีพ กิตติมศักดิ์ ที่ถือเป็น ‘ผู้นำทางความคิด’ ของเครือข่ายสัมมาชีพ ซึ่งในขณะนั้น ‘สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์’ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย เคยเป็นอดีตประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสัมมาชีพ ส่วน ‘อุตตม’ ทำงานกับ ‘สมคิด’ มาตั้งแต่สมัยอยู่นิด้า และเคยเป็นปรึกษา-ผู้ช่วยรัฐมนตรีสมัย ‘สมคิด’ เป็น รมว.คลัง ยุครัฐบาลทักษิณพรรคไทยรักไทย จึงเป็นที่มาของ ‘โครงการประชารัฐ’ ในยุคที่ ‘สี่กุมาร-สมคิด’ ยังอยู่กับ พปชร. และ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง
ดังนั้นแนวคิดของ ‘พรรคสร้างอนาคตไทย’ ออกไปทางแนวทาง ‘สัมมาชีพ’ ที่ นพ.ประเวศ กับ ‘สมคิด’ ได้วางไว้คือ ‘เศรษฐกิจฐานราก-ธรรมาธิปไตย’ ในการทำการเมือง จึงไม่แปลกที่คำปราศรัยของ ‘สมคิด’ จะเน้นโจมตีการเมืองในแง่ ‘คุณธรรม’ มากกว่าพูดถึง ‘โครงสร้างการเมือง’ รวมทั้งนโยบายของพรรค 5 ด้าน ที่แถลงตั้งแต่วันเปิดตัวพรรค
ต้องยอมรับว่า พรรคสร้างอนาคตไทยเปิดตัวมากว่า 5 เดือนแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 แต่ ‘กระแส’ ปลุกไม่ขึ้นเท่าที่ควร หากเทียบกับ ‘พรรคเกิดใหม่’ อย่าง ‘พรรคไทยสร้างไทย’ ของ ‘หญิงหน่อย’คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปธ.พรรค และ ‘พรรคกล้า’ ของ ‘กรณ์ จาติกวณิช’ ที่สุดท้ายต้อง ‘หนีตาย’ บัตร 2 ใบ สูตรหาร 100 ไปจับมือกับพรรคชาติพัฒนา ของ ‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’
การเปิดตัว ‘สมคิด’ อย่างเป็นทางการ ในแง่หนึ่งก็เพื่อปูทางไปสู่การเป็น ‘แคนดิเดตนายกฯ’ ซึ่งในงานเปิดตัว ‘สมคิด’ ย้ำถึงความพร้อมเป็น แคนดิเดตนายกฯ พร้อมชี้อยู่ที่ ‘ฟ้าลิขิต’ ด้วย ทำให้ ‘สมคิด’ พยายามขับเน้นตัวเองเป็น ‘คนทางสายกลาง’ อีกทั้งทำ ‘แบรนด์สร้างอนาคตไทย’ ไปในทางพรรคเศรษฐกิจ จึงไม่แปลกที่ ‘สมคิด’ จะเลี่ยงไม่ตอบสื่อ จับมือกับ ‘บิ๊กตู่’ ได้อีกหรือไม่
ในสถานการณ์การเมืองแบ่งขั้ว 2 อุดมการณ์ โมเดลของ ‘สมคิด’ ก็คือการสร้าง ‘ขั้วที่ 3’ ชนการเมือง ‘ระบอบ 3ป.’ ที่ ‘สมคิด’ มองว่า หลังยุค คสช. เป็นการแบ่งกระทรวงเหมือน ‘บุปเฟ่ต์คาบิเนต’ อีกทั้งภาพการเมืองเหมือน ‘คอกม้า’ ที่ต้อง ‘ซื้อม้า’ เข้าคอก ดังนั้นพรรคสร้างอนาคตไทยจึงชูธงเป็น ‘พรรคมือเศรษฐกิจ’ ที่ไปได้กับทุกขั้วเพื่อใช้ในการ ‘ต่อรองอำนาจ’ ในทางการเมืองได้อย่างแยบยล
วัดฝีมือ ‘จอมยุทธ์กวง’ จะสิ้นลายหรือไม่!!
ที่ผ่านมากลุ่มสี่กุมารนิ่งเงียบทางการเมืองมานาน แต่เป็นที่รู้กันในวงการเมืองว่า ‘ซุ่มเงียบ’ ทำพรรคใหม่เพื่อลงสนามเลือกตั้งครั้งหน้า โดยขยับตัวเองให้เป็นข่าวตามวงรอบเท่านั้น จนนำมาสู่การเปิดตัว ‘พรรคสร้างอนาคตไทย’ โดยมีบรรดาอดีต ส.ส. และแกนนำ พปชร. ที่อยู่ในขั้วสี่กุมารลาออกมาสบทบสร้างทัพใหม่
จุดยืนของพรรคสร้างอนาคตไทย ยังไม่ชัดเจนใน ‘เชิงอุดมการณ์’ จะเป็น ‘พรรคซ้าย-ขวา’ หรือ ‘เอา-ไม่เอา’ ขั้วอำนาจ 3ป. เพราะไม่ต้องการเลือกข้างชัดเจน ทำให้พรรคถูกจัดไปในกลุ่ม ‘ขั้วที่ 3’ ที่จะเก็บเก้าอี้ ส.ส. มาต่อรอง ‘ร่วมรัฐบาล’ ไม่ว่าฝ่ายใดจะขึ้นมามีอำนาจก็ตาม โดยขับเน้นความเป็น ‘พรรคมือเศรษฐกิจ’ ผ่านภาพของสี่กุมารที่มีความเป็น ‘เทคโนแครต’ อยู่เดิม ซึ่งที่ผ่านมาก็เน้นนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยพรรคก็รู้ถึงจุดอ่อนตัวเองที่ยังขาด ‘ฐานเสียง’ จึงพยายามดึง อดีต ส.ส. หรือ ‘อดีตบ้านใหญ่’ ในแต่ละพื้นที่ เข้ามาเสริมทัพ รวมทั้งพยายามดึง อดีตผู้บริหารเอกชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน อีกด้วย
การเปิดตัว ‘สมคิด’ ขึ้นเป็น ประธานพรรคฯ หลัง ‘กั๊ก’ มานาน ก็ไม่เกินความคาดหมายใดๆ เพราะ ‘สมคิด’ ถูกมองว่าเป็น ‘หัวหน้าพรรคตัวจริง’ มาโดยตลอด ซึ่งการที่ ‘สมคิด’ เปิดตัวร่วมพรรคสร้างอนาคตไทย ต่างเชื่อกันว่าจะเป็น ‘แม่เหล็กทางการเมือง’ ระดมคนและทรัพยากรต่างๆ ให้กับพรรคได้มากขึ้น เพราะ ‘สมคิด’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีต รมว.คลัง มีประสบการณ์บริหารงานเศรษฐกิจ การเงินการคลัง การธนาคาร การค้าระหว่างประเทศ เป็น ‘มือเศรษฐกิจ’ ที่ได้รับความยอมรับในแวดวงธุรกิจ โดยก่อนมาสมัครพรรคสร้างอนาคตไทย ได้ลาออกจากตำแหน่ง ปธ.กรรมการ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่มสหพัฒน์ ถึงขั้นที่พรรคสร้างอนาคตไทย ยกให้เป็น ‘จอมยุทธ์กวง-มือเศรษฐกิจขั้นเทพ’ ในงานวันเปิดตัว
ย้อนกลับไปยุคที่ ‘สมคิด’ เว้นวรรคการเมือง หลังรัฐบาลทักษิณล่มสลาย จากเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 ได้ตั้ง ‘กลุ่มธรรมาธิปไตย’ ขึ้นมาก่อนไปร่วมก่อตั้ง ‘พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา’ ที่มี ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์, เอนก เหล่าธรรมทัศน์, พิจิตต รัตตกุล และ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นแกนหลักเพื่อลงเลือกตั้งช่วงปี 2550
ก่อนจะมาตั้ง ‘มูลนิธิสัมมาชีพ’ ช่วงปี 2552 ที่มุ่งเน้น ‘เศรษฐกิจฐานราก-รากหญ้า’ จับมือกับองค์กร-เครือข่ายต่างๆ โดย ‘สมคิด’ เป็น ปธ.คณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพ และมี นพ.ประเวศ วะสี เป็น ปธ.คณะกรรมการที่ปรึกษา มูลนิธิสัมมาชีพ กิตติมศักดิ์ ที่ถือเป็น ‘ผู้นำทางความคิด’ ของเครือข่ายสัมมาชีพ ซึ่งในขณะนั้น ‘สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์’ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย เคยเป็นอดีตประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสัมมาชีพ ส่วน ‘อุตตม’ ทำงานกับ ‘สมคิด’ มาตั้งแต่สมัยอยู่นิด้า และเคยเป็นปรึกษา-ผู้ช่วยรัฐมนตรีสมัย ‘สมคิด’ เป็น รมว.คลัง ยุครัฐบาลทักษิณพรรคไทยรักไทย จึงเป็นที่มาของ ‘โครงการประชารัฐ’ ในยุคที่ ‘สี่กุมาร-สมคิด’ ยังอยู่กับ พปชร. และ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง
ดังนั้นแนวคิดของ ‘พรรคสร้างอนาคตไทย’ ออกไปทางแนวทาง ‘สัมมาชีพ’ ที่ นพ.ประเวศ กับ ‘สมคิด’ ได้วางไว้คือ ‘เศรษฐกิจฐานราก-ธรรมาธิปไตย’ ในการทำการเมือง จึงไม่แปลกที่คำปราศรัยของ ‘สมคิด’ จะเน้นโจมตีการเมืองในแง่ ‘คุณธรรม’ มากกว่าพูดถึง ‘โครงสร้างการเมือง’ รวมทั้งนโยบายของพรรค 5 ด้าน ที่แถลงตั้งแต่วันเปิดตัวพรรค
ต้องยอมรับว่า พรรคสร้างอนาคตไทยเปิดตัวมากว่า 5 เดือนแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 แต่ ‘กระแส’ ปลุกไม่ขึ้นเท่าที่ควร หากเทียบกับ ‘พรรคเกิดใหม่’ อย่าง ‘พรรคไทยสร้างไทย’ ของ ‘หญิงหน่อย’คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปธ.พรรค และ ‘พรรคกล้า’ ของ ‘กรณ์ จาติกวณิช’ ที่สุดท้ายต้อง ‘หนีตาย’ บัตร 2 ใบ สูตรหาร 100 ไปจับมือกับพรรคชาติพัฒนา ของ ‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’
การเปิดตัว ‘สมคิด’ อย่างเป็นทางการ ในแง่หนึ่งก็เพื่อปูทางไปสู่การเป็น ‘แคนดิเดตนายกฯ’ ซึ่งในงานเปิดตัว ‘สมคิด’ ย้ำถึงความพร้อมเป็น แคนดิเดตนายกฯ พร้อมชี้อยู่ที่ ‘ฟ้าลิขิต’ ด้วย ทำให้ ‘สมคิด’ พยายามขับเน้นตัวเองเป็น ‘คนทางสายกลาง’ อีกทั้งทำ ‘แบรนด์สร้างอนาคตไทย’ ไปในทางพรรคเศรษฐกิจ จึงไม่แปลกที่ ‘สมคิด’ จะเลี่ยงไม่ตอบสื่อ จับมือกับ ‘บิ๊กตู่’ ได้อีกหรือไม่
ในสถานการณ์การเมืองแบ่งขั้ว 2 อุดมการณ์ โมเดลของ ‘สมคิด’ ก็คือการสร้าง ‘ขั้วที่ 3’ ชนการเมือง ‘ระบอบ 3ป.’ ที่ ‘สมคิด’ มองว่า หลังยุค คสช. เป็นการแบ่งกระทรวงเหมือน ‘บุปเฟ่ต์คาบิเนต’ อีกทั้งภาพการเมืองเหมือน ‘คอกม้า’ ที่ต้อง ‘ซื้อม้า’ เข้าคอก ดังนั้นพรรคสร้างอนาคตไทยจึงชูธงเป็น ‘พรรคมือเศรษฐกิจ’ ที่ไปได้กับทุกขั้วเพื่อใช้ในการ ‘ต่อรองอำนาจ’ ในทางการเมืองได้อย่างแยบยล
วัดฝีมือ ‘จอมยุทธ์กวง’ จะสิ้นลายหรือไม่!!
