เงินหมื่นได้แน่! แจกดิจิทัลวอลเล็ตไตรมาส 4

15 เมษายน 2567 - 04:18

srettha-interview-15apr2024-SPACEBAR-Hero.jpg
  • ‘เศรษฐา’ มั่นใจ แจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต ฉลุย ได้แน่ไตรมาส 4 ชี้ ออกดอกออกผลไตรมาส 1-2 ปีหน้า ระบุ ระหว่างโครงการไม่เกิด เตรียมผุดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่แถลงต่อรัฐสภา

  • เผย ต้องหลังพิงประชาชน เพราะเป็นคนส่งให้มายืนอยู่ตรงนี้ รับต้องปรับจูนทำความเข้าใจ สส. เพื่อไทย หลังมีเสียงสะท้อนยังมีระยะห่าง ลั่นไม่น้อยใจ ไม่โกรธ ไม่งอน แจงต้องเข้มเรื่องงบฯ เหตุมีจำกัด ดูแลภาษีประชาชนให้คุ้มค่า

  • มอง ฝ่ายค้านทำหน้าที่ดี คอยเตือนสติ พร้อมรับคำแนะนำไปปรับปรุง บอก ประชาชนเป็นคนตัดสินเล่นการเมืองมากไปหรือไม่ ขอโฟกัสเรื่องที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์กับประชาชน

  • เปิดใจทำงาน 7 เดือน ไม่ได้ดั่งใจเยอะ ปลื้มตัวเลข นทท.กราฟพุ่ง 140% ขอพยายามต่อไป ยอมรับอยู่การเมืองต้องปรับตัวเยอะ เพราะต้องฟังหลายส่วน ลั่นขออุทิศตนเพื่อประชาชน พร้อมเสียเพื่อนหากทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน บอกแม้มาจากภาคธุรกิจ แต่มั่นใจได้ ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแน่นอน

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่มีความล่าช้า ทำให้หลายนโยบายของรัฐบาล ถูกขยับออกไป อย่างเช่นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ก่อนหน้านี้มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะให้ใช้ภายในต้นปีนี้ แต่สุดท้ายกลับถูกเลื่อนออกไปว่า จริงๆแล้วส่วนตัวไม่อยากจะขอโทษเรื่องงบประมาณล่าช้า ซึ่งหากย้อนไปในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ใช้เวลาประมาณสามเดือนพอดี ถือว่า นานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยได้ 141 เสียง มาเป็นที่สอง และพรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง เราก็ทำอย่างเต็มที่ ให้เขาฟอร์มรัฐบาลให้ได้ มีการโหวตให้ไม่แตกแถวเป๊ะ และก็โหวตให้ก้าวไกลเต็มที่ทั้งสองครั้ง ขณะนั้นพรรคก้าวไกลก็บอกมาตลอดเวลาว่า สามารถที่จะฟอร์มรัฐบาลได้ และมีเสียงสว.เพียงพอ เราก็ให้เกียรติที่จะสนับสนุน และในต่างประเทศหากเป็นพรรคอันดับหนึ่งอันดับสอง ก็จะต้องแข่งขันกัน แต่พอถึงเวลาเราส่งเขาเต็มที่แล้ว ไม่สามารถฟอร์มรัฐบาลได้ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับไม้ต่อ ซึ่งส่วนตัวก็ทราบว่า งบประมาณจะใช้ได้จริงในช่วงเดือนพฤษภาคม และไม่สามารถนำกรณีดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างได้ ส่วนตัวเพียงแต่บอกเฉยๆ แต่เรื่องของการใช้นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราทำได้ทั้งวีซ่าฟรี พักหนี้เกษตรกร และลดค่าใช้จ่าย 

สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องการเม็ดเงินใหม่ เพราะเราประกาศว่าทุกคนจะต้องได้หมด ใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท โดยต้องใช้หมดภายในหกเดือน อายุ 16 ปี และใช้ภายในอำเภอ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค แต่เอาเข้าจริงเราได้ 141 เสียงไม่ใช่แลนด์สไลด์อย่างที่หวังไว้ และมีหลายภาคส่วนที่เราต้องรับฟัง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นักวิชาการต่างๆ รวมไปถึงการตั้งหลักเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆ เช่นคนรวยใช้หลักเกณฑ์อะไรในการวัด รวมถึงที่มีการตัดกลุ่มเป้าหมาย ที่ถูกตัดไป 12 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงินทั้งหมด และมีการตั้งคำถามว่า จะกู้เงินมาใช้ในโครงการดังกล่าวหรือไม่ จนกระทั่งเราบริหารจัดการตรงนี้ ให้มันมาจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ไตรมาส4นี้ ได้อย่างแน่นอน ยืนยันทุกอย่าง ทุกขั้นตอนตรวจสอบได้ สุจริต บริสุทธ์ใจ พร้อมย้ำว่า ขอให้คอยในไตรมาสที่4 

เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่มีอะไรมาเตะถ่วงทำให้โครงการเงินดิจิทัลฯ ต้องเลื่อนออกไปมากกว่าไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นายกรัฐมนตรี รีบตอบกลับทันทีว่า “มั่นใจ”

เมื่อถามต่อว่า หากงบประมาณลงมาแล้ว มีการประเมินหรือไม่ว่าการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต รวมไปถึงเศรษฐกิจต่างๆ ผลจะออกมาในช่วงไตรมาสใด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีหน้าจะเห็นผล และนโยบายการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นเรือธงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างการจัดงานทั้งพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต ก็เกิดขึ้นมากมาย 

เมื่อถามว่า ในระหว่างทางที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้รัฐบาลจะมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ออกมาก่อนหน้าหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ระหว่างทาง จะมีนโยบายอื่นๆออกไป ซึ่งเป็นไปตามที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เช่นการสร้างถนน หรืออย่าลืมว่า เกษตรกร ยังมีอีกหลายสิบล้านคน ที่ต้องดูเรื่องไม่ท่วมไม่แล้ง 

ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลให้เงินมากเกินไปจนสุดท้ายไม่ได้อะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ชัดเจนว่า เราบอกว่า ทำครั้งเดียว แต่การเติมเงินเข้าไปในกระเป๋าทุกๆ คนที่จะเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่า จะเป็นวิกฤติโควิด-19 เติมเงินเพียงแค่ 1,000 ถึง 2,000 บาท แล้วไปใช้ที่ไหนก็ได้ แต่ครั้งนี้มีการจำกัดประเภทสินค้า ระยะทางที่สามารถใช้ได้ วันนี้เราต้องการที่จะให้อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดต่างๆ  ได้ลืมตาอ้าปากด้วย มีโอกาสในการจับจ่ายใช้ส่อยเงินด้วย เรื่องนี้อธิบายไปหลายหนแล้วและก็มั่นใจว่า เรามาถูกทาง

เศรษฐา ยังให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์กับสส.พรรคเพื่อไทย ที่ยังมีเสียงสะท้อนจากภายในพรรคว่า ระหว่าง นายกฯ กับสส. ยังมีระยะห่างกันมาก และส่วนหนึ่งมาจากการเข้มงวดเรื่องงบประมาณ ว่า หลายโครงการที่ขอมาก็มีได้ อย่างที่บอกงบประมาณมีจำกัด และตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ดูแลภาษีของประชาชน และมีหน้าที่ตอบกับรัฐสภาว่า ภาษีนั้น มีการใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เช่น การสร้างสนามบิน ด่านชายแดนต่าง ๆ ต้องดูให้ดี เพราะมีการพูดคุย และดูองค์ประกอบหลายๆ อย่าง จึงอยากค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ขอให้ถึงเวลาก่อน ซึ่งหน้าที่ของตนเอง ก็ต้องปรับจูนกับ สส.ของพรรคตลอดเวลา ส่วนตัวต้องหลังพิงประชาชน เพราะเป็นคนที่ส่งให้ตนเองมายืนอยู่ตรงนี้ และต้องผ่าน สส.ที่มีถึง 141 คน อย่างไรก็ต้องโน้มน้าวเข้าหาตลอดเวลา และพยายามอธิบายให้เข้าใจว่า เรื่องคืออะไร ประเด็นคืออะไร เหตุผลที่ให้ได้ และให้ไม่ได้ หรือทำไมต้องได้งบประมาณน้อยลง หรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องของการพูดคุย เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ยังต้องพยายามไปพบปะพูดคุย หาวิธีสื่อสารให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ สส.พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว เพราะส่วนตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ซึ่งในสัปดาห์หน้า จะลงพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต ไปดูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 

ส่วนเรื่องการบริหารอารมณ์นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คนเราก็เป็นคน ก็มีอารมณ์บ้าง และส่วนตัวไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ซึ่งส่วนตัวเข้าใจว่า ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องไม่มีสิทธิ์เลือกโกรธ ต้องพยายามรับฟัง ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี ซึ่งตรงนี้ก็พยายามทำให้ดียิ่งขึ้นอยู่ บางเรื่องก็เข้าใจได้ ก็พยายามฝึกกันต่อไป

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เป็นนักธุรกิจแล้วใจร้อนมาก แต่เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ใจเย็นขึ้นเยอะ จนเพื่อนบ่น เศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ หรือให้สื่อมวลชนเป็นคนสะท้อนว่ามีการพัฒนาอย่างไร ถ้าถามว่าทำได้ดีพอหรือยัง ต้องตอบว่ายังไม่ดี ต้องพยายามกันต่อไป เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วก็ ต้องรับฟังทุก ๆ คำถาม

นายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานของฝ่ายค้านว่า ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ได้ดี เป็นการเตือนสติ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ดี ก็พร้อมรับไปพิจารณา ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้ว ที่ต้องมาดูแลเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐบาล อะไรที่ทำยังไม่ดีพอ ก็พร้อมนำไปปรับปรุง อะไรที่มีขีดจำกัด ก็จะพักไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จะแก้ไขก็จะแก้ไข เชื่อว่า ส่วนตัวมีความเข้าใจ พยายามแยกแยะ ไม่โฟกัสเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรืออะไรที่เป็นเกมการเมืองมากเกินไป พยายามไปโฟกัสเรื่องคำแนะนำที่เป็นผลดีกับประชาชน และอยู่ช่วงเวลาที่สามารถทำได้

เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเล่นการเมืองมากไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสินดีกว่า เพราะไม่อยากสร้างประเด็นทางการเมือง พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลนี้ ไม่ได้ละเลยเรื่องรายละเอียด บางเรื่องมีระยะเวลาก็ต้องพยายามจัดการกันไป หรือบางเรื่องก็พยายามกำหนดกรอบเวลา หลายอย่างที่พยายามทำมา ก็ต้องมาช่วยกันดู ทั้งรายละเอียดงบประมาณ การทุจริตประพฤติมิชอบ

เศรษฐา ยังเปิดใจถึงการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมาว่า มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้ว แต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก เรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่าแล้ว 140% ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19  ในปี 2562 ณเวลานี้ จากเดือนมกราคม- เมษายน เราได้ประมาณ 60% หากคิดเป็น 100% วันนี้เราได้ประมาณ 90% ส่วนตัวมั่นใจสถิติคนมาเที่ยวไทย 39.4 ล้านคน เราสามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การ อำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน ไรเดอร์เถื่อน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้ 

ส่วนเรื่องของกรมศุลกากร ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี จากรายได้ของประเทศ ปีละ ประมาณ 3 ล้านล้านบาท กรมศุลกากรเป็นหนึ่งใน 3 กรมภาษีหลัก จัดเก็บภาษีได้ปีละ 1 แสนล้าน คิดเป็น ประมาณ 3% ของรายได้ประเทศ ถือว่าต่ำ แต่แม้เก็บได้ 3% แต่ก็เป็นกรมหลักในการควบคุมสินค้าเถื่อน ที่มากระทบชีวิตประชาชน หนึ่งในนั้นคือ การควบคุมยางพาราเถื่อนจนส่งผลให้ราคายางในประเทศสูงขึ้น แต่เป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาวิ่งเต้นกับกรมศุลกากรมากที่สุด ซึ่งได้พูดหลายครั้งว่า กรมศุลกากรมีการวิ่งเต้นสูงสุด แต่แปลกที่มีการจัดเก็บรายได้ได้แค่ 3% ถือเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จึงเป็นที่มาที่ต้องพัฒนากรมศุลกากร ให้เป็นกรมศุลกากรที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆ ในหลายมิติ หรือเรื่องภาษีนำเข้าที่เป็นจุดรั่วไหลทำให้การจัดเก็บภาษีในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ไม่สบายใจหรือพึงพอใจ แต่ขอใช้ คำว่า ยังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน 7 เดือนแต่ก็ต้องพยายามต่อไปและทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไป รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุนเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด

นายกรัฐมนตรี ยังยอมรับว่า ต้องปรับตัวมากจริงๆ จากการเป็นธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท มีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัทก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค 141 เสียงจาก 500 เสียง และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน สส. สว. สถาบันความมั่นคง  NGO นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ดังนั้นส่วนตัวขอใช้คำว่าหุ้นส่วน ในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้นการบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วน ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือน เชื่อว่า เรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่า การขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆดีขึ้น 

เมื่อถามว่า การเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกฯ มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ นายกรัฐมนตรีมีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หน้าที่ของตนเอง ไม่ไช่การเซฟตัวเอง ส่วนตัวมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมืองมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติ ให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเอง ก็ไม่มีตรงนี้ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่า เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีแน่นอน

“แต่อย่างไรก็ตาม ต้องพูดเรื่องทรัพย์สิน เรื่องของชีวิตส่วนตัว ส่วนตัวของผมลงตัวแล้ว ผมมีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้ผมอยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมือง ผมไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งผมย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า 3 ปีครึ่งจากนี้ไป ผมมีเรื่องเดียวคือ ยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และหวังว่าจะทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ การที่มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อน เป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูลและรู้ลึกทุกเรื่อง และประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก 40 กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อประชาชน”

นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อถามต่อว่า การมานั่งเป็นผู้นำอาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้าง ในกรณีที่ไม่มีการสมประโยชน์กัน นายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวเจอเพื่อนทุกคน ก็คุยกันว่า คนอายุ 60 ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ส่วนตัวอยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคย ไปทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมือง อยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น

“เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความ เป็นอยู่ประชาชนดีขึ้นหรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบ จากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้นก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าหากอีก 3 ปีครึ่งต้องมีเพื่อนน้อยลงแลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม”

นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวยังถามอีกว่า มุมมองทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลายคนอาจบอกว่า นักการเมืองมีทั้งดีและเลว แต่บางคนที่บอกว่า นักการเมืองเลว เพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของความเห็นต่าง หรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง ดังนั้นการที่จะต้องจูนเข้าหากัน หรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไร และเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว ต้นคิดว่าคนพวกนั้นดูถูกต้นไปนิดนึง ตรงนี้ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมืองจะมาขออะไรก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม ทั้งนี้ ในเรื่องของงบประมาณ มีคำภาษาอังกฤษที่บอกว่า “Bigger bang for the buck” หมายความว่า หากใส่เงินไป 1 บาท ผลตอบแทนต้องมากกว่า 1 เหรียญ โดยนายกรัฐมนตรียกตัวอย่างเรื่องน้ำท่วมว่า หากดูแลป้องกันไม่ให้น้ำท่วม ก็จะได้ผลประโยชน์สองต่อ  คือ ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น แต่ละพรรค สส.แต่ละคน ก็อยากใช้งบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในเขตของเขา ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องรับฟัง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์