อัตราเร่งฝีเท้าของ ‘ตระกูลชินวัตร’ ตลอดช่วง 100 วัน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ และเป็น 100 วัน ที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ได้กลับไทย และเข้าสู่ ‘กระบวนการยุติธรรม’ เดินเข้าสู่ ‘เรือนจำ’ แต่ยังไม่ทัน ‘ข้ามคืน’ ก็ออกมาพักรักษาตัวนอกเรือนจำที่ รพ.ตำรวจ แทน บนโจทย์สำคัญที่ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร’ ทายาทการเมือง กล่าวตั้งแต่ก่อน ‘ทักษิณ’ กลับไทยคือเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ ที่ย้ำหลายครั้ง
อีกปัจจัยสำคัญคือ ‘โทษจำคุก’ ของ ‘ทักษิณ’ ที่อีกเพียงราว 3 เดือน ‘ทักษิณ’ ก็จะเข้าเกณฑ์ ‘พักโทษ’ หลังรับโทษมาแล้ว 6 เดือน คือช่วง ก.พ.67 ก่อนจะ ‘พ้นโทษ’ ก.ย.67 แน่นอนว่า ‘ทักษิณ’ ก็จะสามารถ ‘ขยับตัวเอง’ ได้มากขึ้น
หนึ่งในนั้นคือการ ‘ผลักดันลูกสาว’ บนเส้นทางการเมือง และบทบาทของ ‘ทักษิณ’ ที่มี ‘อำนาจ’ อยู่ในมือตอนนี้ ในการ ‘เดินเกมการเมือง’ ผ่าน ‘พรรคเพื่อไทย’ ต่อรองกับ ‘ขั้วอำนาจ’ ต่างๆ
การขึ้นเป็น ‘หัวหน้าเพื่อไทย’ ของ ‘แพทองธาร’ คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ‘สมการการเมือง’ ทำให้บารมีของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ลดลงไป ตอกย้ำคำว่า ‘นายกฯขัดตาทัพ’ อย่างชัดเจน แต่ในช่วงเวลานี้เป็นการ ‘แยกกันเดิน รวมกันตี’ ตามโมเดลของ ‘ทักษิณ’ ที่ให้ ‘เศรษฐา’ บริหารงานรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ดูแลพรรค จะเห็นได้ว่า ‘แพทองธาร’ ไปปรากฏตัวตามงาน ‘บ้านใหญ่เพื่อไทย’ มากขึ้น เพื่อตรึง ‘ฐานคะแนน’ เอาไว้ หากจะไปดึง ‘เสียงคนรุ่นใหม่’ ก็สู้ ‘พรรคก้าวไกล’ ไม่ได้ หลังตั้ง ‘รัฐบาลข้ามขั้ว’
แต่ ‘แพทองธาร’ กลับรุกคืบเข้าไป ‘พื้นที่งานบริหาร’ มากขึ้น เรียกว่าเริ่มมา ‘ฝึกงานรัฐบาล’ นั่งรองประธาน ‘บอร์ดซอฟต์พาวเวอร์’ หรือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่ถูกมองว่าเป็น ‘ซุปเปอร์บอร์ด’ มีอำนาจเทียบเท่า ครม. เพราะมีระดับ ‘รัฐมนตรี’ นั่งเป็น ‘กรรมการ’ จำนวนมาก อีก และมี ‘พันศักดิ์ วิญญรัตน์’ อดีต ‘คีย์แมนบ้านพิษณุโลก’ ที่รีเทิร์นสู่สนามการเมืองอีกครั้ง มาเป็น ที่ปรึกษาและกรรมการ
แต่ที่น่าสนใจกว่าคือมีการตั้ง ‘คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ’ ซ้อนขึ้นมา โดยมี ‘แพทองธาร’ เป็น ปธ.คณะกรรมการฯ ที่มี ‘ศักดิ์’ เป็น ‘อนุคณะกรรมการ’ จากบอร์ดใหญ่ ซึ่งล่าสุดที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการงบ 5,164 ล้านบาท ในโครงการ กิจกรรม และอุตสาหกรรม ‘ซอฟต์พาวเวอร์ไทย’ 11 ด้าน ก่อนส่งให้ ‘บอร์ดชุดใหญ่’พิจารณาใน ม.ค.67
ทั้งนี้มีการมองการเมืองปี 67 ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป ภายหลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ผ่านสภาฯ วาระ 3 ช่วง เม.ย.67 จากนั้นคาดกันว่าจะมีการ ‘ปรับ ครม.’ ครั้งแรก แต่ในยุคนี้ ‘เพื่อไทย’ ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เฉกเช่นในอดีต ทำให้การจะไปปรับ ครม. ‘โควต้าพรรคร่วม รบ.’ จะสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล
แต่ในอีกแง่ก็มีการวิเคราะห์ว่า ‘เศรษฐา’ จะหลุดจากเก้าอี้นายกฯ หรือไม่ หากสุดท้ายร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้าน ที่จะเอามาทำ ‘โครงการเงินดิจิทัล’ ไม่ผ่านสภาฯ เพราะเป็น ‘กฎหมายการเงิน’ นายกฯ ก็จะต้อง ‘ลาออก’ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ จึงไม่ต้อง ‘ยุบสภาฯ’ ดังนั้นกระบวนการสภาฯ ก็จะนำมาสู่การ ‘โหวตนายกฯ’ คนใหม่แทน ซึ่งชื่อ ‘แพทองธาร’ ก็ยังอยู่ในบัญชี ‘แคนดิเดตนายกฯ’ ด้วย ที่สำคัญในขณะนั้น สว. ก็พ้นวาระ 5 ปี ไม่มีอำนาจโหวตนายกฯ
หากถามถึง ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ก็มีอำนาจต่อรอง เพราะครั้งนี้ ‘เพื่อไทย’ มีเสียง สส. เพียง 141 เสียง ทำให้ต้องหวังพึ่งเสียงพรรคร่วมรัฐบาล มิฉะนั้นก็จะอยู่ในสภาวะ ‘เสียงปริ่มน้ำ’ ได้ ส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลเช่นกัน ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลมี ‘อำนาจต่อรอง’ กับ ‘ขั้วเพื่อไทย-ทักษิณ’ เว้นแต่ ‘เพื่อไทย’ ไปจับมือ ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาลใหม่ ก็จะได้เสียงรวม ประมาณ 290 เสียง ซึ่งก็จะ ‘ไม่ปริ่มน้ำ’ แต่อยู่ที่ ‘ทักษิณ’ จะกลับมาเป็น ‘ศัตรู’ กับ ‘ชนชั้นนำ’ อีกหรือไม่
ดังนั้นการ ‘สมยอม’ ของ ‘ทักษิณ’ ในการตั้ง ‘รัฐบาลข้ามขั้ว’ แลกกับการได้กลับไทย ผ่าน ‘อภิมหาดีลลับ’ ซึ่ง ‘ทักษิณ’ เคยปฏิเสธ ‘ดีลลับฮ่องกง’ กับ ‘ขั้วก้าวไกล’ มาแล้ว หลังมีการยื่นข้อเสนอ ‘ก้าวไกล’ ยอมถอยไปเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ แลกกับให้ ‘เพื่อไทย’ ปิดสวิตช์ ‘3ป.’ ที่สุดท้าย ‘ดีลล่ม’ ไปเรียบร้อย
ล่าสุด ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ แม้ยอมรับว่าไปพบ ‘ทักษิณ’ ที่ฮ่องกงจริง ก่อนการตั้ง ‘รบ.เพื่อไทย’ แล้วเสร็จ ซึ่งได้ยืนยันว่าไม่มีคุย ‘ดีลการเมือง’ แต่ได้ทิ้งท้ายว่า ‘เพื่อไทย’ คือ ‘มิตร’
เพราะในทางการเมือง ‘ก้าวไกล’ ก็ต้องอาศัยเสียง ‘เพื่อไทย’ ในการผ่านร่างกฎหมายต่างๆ หรือการขอเสียงสนับสนุนในสภาฯ จึงต้องจับตาว่าร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้าน ทางซีก ‘ก้าวไกล’ จะเอาด้วยหรือไม่ และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ทางซีก ‘เพื่อไทย’ จะร่วมสังฆกรรมหรือไม่
ดังนั้นการขึ้นมาของ ‘แพทองธาร’ ก็ขึ้นอยู่กับ ‘ปัจจัยการเมือง’ ในอนาคตด้วย แต่ในเวลานี้ ‘แพทองธาร’ อยู่ระหว่าง ‘เก็บขุมกำลัง’ ต่างๆ ไว้ รวมทั้งการลงพื้นที่ต่อเนื่อง ทั้งการลงไปพบ ‘บ้านใหญ่เพื่อไทย’ ในฐานะหัวหน้าพรรค และการลงพื้นที่กับ ‘เศรษฐา’ ในฐานะ ‘บิ๊กบอร์ดซอฟต์พาวเวอร์’
กลายเป็น 1 ประเทศ 2 นายกฯ