ความเคลื่อนไหวของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ภายในรั้ว รพ.ตำรวจ หลังรักษานอกเรือนจำครบ 60 วัน สุดท้ายได้รับ ‘ต่อวีซ่า’ รักษาตัวใน รพ.ตำรวจ ต่อไป ภายหลัง ‘กรมราชทัณฑ์’ เปิดเผยว่า จากความเห็นจากแพทย์ รพ.ตำรวจ ผู้ทำการรักษา เห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ต่อ
ตามกฎกระทรวง การพักรักษาตัวเกินกว่า 60 วัน ต้องมีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ
ทั้งนี้ช่วงก่อนครบ 60 วัน ย้อนไปเมื่อ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏภาพ ‘ทักษิณ’ โดยแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้นำตัว ‘ทักษิณ’ ไปทำ CT Scan และ MRI ที่ตึก ภปร. เมื่อเวลา 10.00น. เสร็จสิ้นเวลา 11.00น. ซึ่งเป็นไปตามระบบการรักษาผู้ป่วยของแพทย์ ก่อนกลับมารักษาตัวที่อาคารเดิม ชั้น 14
ต่อมา 23 ต.ค. 2566 ‘กรมราชทัณฑ์’ ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลา 09.00 น. ‘ทักษิณ’ ได้ถูกส่งเข้าห้องผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ จนถึงเวลา 14.00 น. หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น ได้มาพักที่ห้องไอซียู ศัลยกรรมประสาท (Neurosurgical Intensive Care Unit : NICU) ทั้งนี้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’นายกฯ ได้เผยอาการเบื้องต้นว่า มีการเจาะบริเวณหัวไหล่ประมาณ 4 รู
ก่อนที่ ‘ทักษิณ’ จะกลับไทย ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ขินวัตร’ เคยย้ำเรื่องหนึ่งที่กังวล หาก ‘คุณพ่อ’ กลับไทยมารับโทษ คือเรื่อง ‘ความปลอดภัย’
ซึ่งจุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ ‘ฝ่ายความมั่นคง-หน่วยงานยุติธรรม’ มีการหารือกันอย่างมาก ตั้งแต่ ‘ทักษิณ’ กลับถึงไทย จนเข้าสู่เรือนจำ และออกมาพักรักษาตัว รพ.ตำรวจ
ปรากฏการณ์ ‘อภินิหารชั้น 14’ ที่ถูกจับตาในช็อตต่อไปคือการยื่นขอ ‘พักโทษ’ ซึ่ง ‘ทักษิณ’ จะเข้าเกณฑ์ ก.พ.67 หลังรับโทษมาแล้ว 6 เดือน ซึ่งท่าทีของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ก็เลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้
ทั้งนี้มีการพูดกันว่า ‘ทักษิณ’ ตั้งใจจะกลับไปอยู่บ้านกับ ‘ครอบครัว’ ทั้งกับลูกและหลาน รวมทั้ง ‘คุณหญิงอ้อ’พจมาน ดามาพงศ์ ที่ ‘ทักษิณ’ เคยออกตัวว่า ช่วงที่อยู่ต่างประเทศ ‘คุณหญิงอ้อ’ รับแทนทุกอย่าง จึงสงสารคุณหญิง อยากกลับไปใช้เวลา ‘ชดเชย’ ด้วย ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวอยู่ย่าน ‘รามอินทรา’ พื้นที่ใหญ่กว่า 80 ไร่ ไม่ใช่ ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ย่านบางพลัด ที่คับแคบ ขยายไม่ได้ และมีปัญหาเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ ด้วย
พร้อมกันนี้มีการมองข้ามไปอีกขั้น ภายหลัง ‘ทักษิณ’ พ้นโทษช่วง ก.ย.67 ไปแล้ว จะมี ‘ตำแหน่ง’ ใด เพื่อ ‘กันตัว’ ไว้หรือไม่ หรือ ‘ทักษิณ’ จะเป็นอิสระ มาลุยการเมืองแบบเปิดหน้า หรือจะเป็น ‘ผู้เล่นนอกสนาม’ แทน สร้างตัวตนให้เป็น ‘ไอคอนคนรุ่นใหม่’ แบบที่ ‘กลุ่มอนาคตใหม่’ ทั้ง ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - ปิยบุตร แสงกนกกุล’ ได้ทำมา ผ่านการเข้าไปยังพื้นที่ ‘สถาบันการศึกษา-งานอีเวนท์ต่างๆ’
มาพร้อมกับการเฉิดฉายของ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร’ ผู้รับมรดก ‘พรรคเพื่อไทย’ ต่อจากคุณพ่อ ที่ขยับตัวเองประชิดทำเนียบรัฐบาล ผ่านการเข้ามานั่งเป็น รองประธาน 2 บอร์ดใหญ่ ทั้งบอร์ดซอฟต์พาวเวอร์ และ บอร์ดพัฒนาระบบสุขภาพฯ หรือที่เรียกว่า ‘30 บาท พลัส’ ซึ่งเรื่องนี้ ‘เศรษฐา’ ระบุว่า เพราะเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล
อีกทั้งเป็น ‘เอกฉันท์’ ภายในเพื่อไทย ที่จะตั้ง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ขึ้นเป็น ‘หัวหน้าพรรค’ หลังเป็น ‘หัวหน้าครอบครัว’ ที่เป็น ‘ร่างทรงหัวหน้าพรรค’ มานาน การขึ้นมาในตำแหน่งหลักเช่นนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ ‘อุ๊งอิ๊ง’ จะเป็นหนึ่งใน ‘กรรมการบริหารพรรค’ ด้วย หากเกิดเรื่องกับพรรคและลามมาถึง กก.บห. ‘อุ๊งอิ๊ง’ ก็จะได้รับผลกระทบ
ซึ่งที่ผ่านมา ‘อุ๊งอิ๊ง’ อยู่ใน ‘ตำแหน่งลอย’ ที่จะไม่โดนผบกระทบใดๆ แต่การที่ ‘ตระกูลชินวัตร’ ให้ลงมามีตำแหน่งใน กก.บห. ก็เท่ากับเป็นการ ‘เอาจริงเอาจัง’ ในช่วงการ ‘เปลี่ยนผ่านพรรค’ หลังบอกช้ำจาก ‘สึนามิสีส้ม’ ผลพวงเลือกตั้งใหญ่ปี 2566
ย้อนกลับไปช่วง มิ.ย. 2566 ที่มีข่าวถึง ‘วงข้าวชินวัตร’ ที่มี ‘คุณหญิงอ้อ’ กับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ และ ‘เอม-พินทองธา ชินวัตร’ ร่วมโต๊ะที่โรงแรมย่านหลานหลวง ‘คุณหญิงอ้อ’ ออกตัวชัดเจน ยังไม่หนุนให้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ขึ้นเป็นนายกฯ เพราะยังมีคนที่เหมาะสมกว่า หนึ่งในชื่อเอ่ยคือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และมองว่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ เพิ่งอายุ 37 ปี ยังมีเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์
ดังนั้นระยะเวลาอีก 3-4 ปี ก่อนที่รัฐบาลเศรษฐา จะครบวาระ 4 ปี ‘อุ๊งอิ๊ง’ ต้องใช้เวลาอันจำกัดนี้ ‘สร้างตัวเอง-สร้างพรรค’ จึงต้องจับตา ‘เพื่อไทย’ ในช่วง ‘ผลัดใบ’ ครั้งนี้ จะผสาน ‘คนรุ่นเก่า-รุ่นใหม่’ อย่างไร รวมทั้ง ‘กลุ่มเพื่อนอิ๊งค์’ จะมีบทบาทนำอย่างไร
หลังภายในพรรคก่อนหน่านี้มีรอยร้าวภายใน เกี่ยวกับ ‘ขุมอำนาจ’ 2 บ้าน ระหว่าง ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า-บ้านเชียงใหม่’ และปรากฏการณ์ ‘หัวดำไล่หัวขาว’ ที่ทำให้พรรคต้องการความเป็น ‘เอกภาพ’ กลับมาสู้ ‘ก้าวไกล’ ได้อีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น ‘ทักษิณ’ ก็พ้นโทษออกมาแล้ว
สุดท้ายเท่ากับว่า ‘เศรษฐา’ อาจเป็นเพียง ‘นายกฯขัดตาทัพ’ เท่านั้น
