ผู้สื่อข่าวรายงานวันที่ 19 พฤศจิกายน 2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ภายหลังจากเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 ที่นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 12 – 19 พ.ย.
โดยภายหลังถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายกฯ เศรษฐา ได้เดินทางต่อไปยังศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา กทม. เพื่อกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 41 ในโอกาสครอบรอบ 90 ปี หอการค้าไทยทันที
นายกฯ เศรษฐา ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายธนินท์ เจียวรนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)สนับสนุนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แต่ขณะเดียวกัน ยังมีเสียงต่อต้านการกู้เงินมาใช้ในโครงการ ว่า “ครับ ก็รับฟังครับ พร้อมรับฟังความเห็นต่าง และขอบคุณเจ้าสัวธนินท์ที่ให้การสนับสนุน”
นายกฯ เศรษฐา กล่าวต่อว่า ต้องไปดูว่าความจริงแล้ว ประเทศเราต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนโยบายหลักของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เราได้ทำมาแล้ว เรื่องการสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลในระยะสั้นและระยะยาวด้วย รวมทั้งการย้ายถิ่นฐานการผลิตของบริษัทต่างๆ กว่าที่จะมีการตอกเสาเข็มและมีสินค้าออกไปก็ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี และ 9 ปีที่ผ่านมาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่เพียง 1.8% แต่เราต้องการวิธีใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อถามย้ำว่า แต่ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินมาใช้ในโครงการ เพราะมองว่าเศรษฐกิจของเรายังสามารถที่จะเจริญเติบโตได้อยู่ ไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติถึงขนาดจำเป็นต้องกู้เงินมา เศรษฐา กล่าวว่า รับฟังครับ รับทราบ และอย่างที่ตนพูดมาตลอดเวลาว่ามันมีประเด็นอยู่ประเด็นเดียวคือวิกฤตและจำเป็นหรือเปล่า แต่ตนถือว่าวิกฤต แต่ถ้าท่านบอกว่าวิกฤตคือจีดีพีต้องติดลบ อันนั้นก็เป็นวิกฤต แต่ถ้ามองดูว่า 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราโตแค่เพียง 1.8% คู่แข่งของเราก็ยังเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็ต้องไปดูว่าเขาขยายตัวเท่าไหร่ ท่านก็ไปดูตัวเลขย้อนหลังออกมาก็แล้วกัน
“ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง ค่าแรงขึ้นไม่ได้ ค่าแรงขั้นต่ำก็ขึ้นไม่ได้ เพราะธุรกิจเรารายได้ไม่ขยายตัวขนาดนั้น รายได้ขั้นต่ำอยู่ที่ 300-337 บาท ต่ำมากนะครับ แต่ผมเองก็เห็นใจผู้ประกอบการ ทั้งรายกลางและรายย่อย ว่าไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้ เพราะมีหลายๆ เหตุผล กว่า FTA จะเจรจาเสร็จ ใช้เวลา 1-2 ปี และกว่าเขาจะมาตั้งโรงงานได้ต้องใช้เวลาพอสมควร กว่านโยบายหลายๆ นโยบายจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องใช้เวลา และระหว่างนี้เราจะทำอย่างไรกันล่ะ ก็ต้องฝากไว้ด้วยนะครับ” นายกฯเศรษฐา กล่าว
ขอโทษหลังโซเชียลดราม่าใช้คำว่า “ขี้ข้า” แจงเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เป็นบทสนทนากับลูก
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยังให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางไปเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 ว่า ได้มีโอกาสพบปะกับชุมชนชาวไทยในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่คนไทยมีปัญหาเรื่องการเข้าเมือง จึงขอร้องให้ทางกงสุลไทยมาช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความง่ายและสะดวกขึ้น และในเรื่องของวีซ่าได้ฝากทางเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลประจำลอสแอนเจลิสไปแล้ว
ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง ทางสหรัฐฯค่อนข้างพิถีพิถันมาก และได้บอกว่าตนในฐานะผู้นำรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทยมีการลงทุนที่สูงขึ้น ฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในประเทศไทยต้องตื่นตัว และให้คนที่ปิดประตูว่าจะไม่กลับประเทศไทยแล้ว ก็ขอให้รู้ว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้า ถ้ามีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น ก็มีโอกาสที่ทุกคนจะกลับมา ช่วยกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศได้
เศรษฐา กล่าวว่า จึงเป็นที่มาที่ไปในโซเซียลมีเดียมาล้อว่าลูกตนอยู่เมืองนอกอะไรแบบนี้ ก็เข้าใจดีว่าประเทศไทยเรายังต้องพัฒนา จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตนต้องเดินเข้ามาสู่เวทีการเมือง เพื่อต้องการยกระดับของประเทศไทยให้ดีขึ้น ให้เป็นที่หมายปองของทุกๆ คน อยากให้คนไทยกลับมาทำงานในเมืองไทยกันเยอะๆ
“มีนักศึกษาคนหนึ่งถามผมว่ามีคำแนะนำอย่างไร ผมก็บอกว่าผมแนะนำลูกผมให้ไปเป็นขี้ข้าเขาก่อน เพราะผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ก็มีดราม่าไปพูดว่าผมพูดจาไม่สุภาพ ถ้าเผื่อตรงนั้นมีมุมมองเช่นนี้ผมก็ต้องขอโทษ แต่อันนั้นผมพูดกับลูกผม เพราะผมเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา เพื่อให้เขาเห็นภาพว่าจริงๆ แล้วการไปทำงาน การไปเป็นลูกจ้างเขาก็ลำบากนะ การที่เราพึ่งจบมาใหม่ๆ เราต้องมีความอดทน เขาใช้อะไรผู้บังคับบัญชาพูดจาหรือใช้อะไรอาจจะไม่ถูกหูเรา แต่เราต้องมีความอดทน”
เศรษฐา กล่าวพร้อมระบุว่า “บางครั้งอาจจะมีการใช้ศัพท์แสง ก็เป็นการบริหารความคาดหวังของลูกตนมากกว่า แต่ยืนยันว่าเนื้อหาเหมือนเดิม คือถ้าจะถามส่วนตัวว่ามีคำแนะนำอะไรให้กับคนรุ่นใหม่ เด็กๆ ก็อยากให้ไปทำงานก่อน อย่าไปทำสตาร์ทอัพก่อนเลย ซึ่งก็แล้วแต่คนแล้วกัน
แต่ถ้าส่วนตัวก็อยากให้ไปทำงานบริษัทใหญ่ๆ สัก 2-3 ปี ไปเรียนเรื่องระเบียบวินัย ไปสร้างคอนเน็กชั่น ไปสร้างเพื่อนฝูงในบริษัทใหญ่ๆ แล้วค่อยออกมาทำงาน ก็เป็นคำแนะนำส่วนตัว ก็เห็นต่างได้ ไม่เป็นไรครับ”