มรสุมในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เริ่มสงบลง หลังนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งย้าย 2 นายพลใหญ่ ‘บิ๊กต่อ’ และ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) เซ่นปมร้าวในองค์กรตำรวจ
ล่าสุดวันนี้ (21 มี.ค.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมามอบนโยบายให้กับตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาจากทั่วประเทศ โดยมี ‘พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์’ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมประชุมด้วย และเป็นที่น่าสังเกตว่า ‘พิชิต ชื่นบาน’ ซึ่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ได้เดินทางมาร่วมเข้าร่วมประชุมด้วย
โดยการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ ‘เศรษฐา’ อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปรับฟังการประชุมได้ แต่เนื่องจากมีความผิดพลาดบางประการ ปรากฏว่าตำรวจได้ขอให้สื่อออกจากห้องประชุม เป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีไม่พอใจและตำหนิตำรวจ จากนั้น ‘พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ’ ได้สั่งการให้ตำรวจเรียกสื่อขึ้นมาร่วมฟังการประชุมอีกครั้ง
สำหรับประเด็นสำคัญที่ ‘เศรษฐา’ เน้นย้ำในที่ประชุม คือการขอให้ ตำรวจทุกคนสามัคคีกันและเลิกแบ่งฝ่าย รักใครชอบใครขอให้เก็บไว้ในใจ ส่วนเรื่องคดีที่เกิดขึ้นให้ปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรม และไม่อยากให้มีการให้ข่าวกันไปมาผ่านสื่ออีกแล้ว
จากนั้น ‘เศรษฐา’ ได้ลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่ออีกครั้ง โดยตอบคำถามในทุกประเด็น ใจความว่า ตอนนี้ยังไม่อยากให้ด่วนสรุปว่า ‘พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล’ และ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล’ มีความผิดหรือไม่ ต้องรอให้คณะกรรมที่ตั้งขึ้นมา ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ตอนนี้ทั้งคู่ถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธ์ ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่มีการตั้งธงใดๆ ไว้ และไม่ขอตอบว่ามูลเหตุของการย้ายคืออะไร เพราะให้ข่าวไปเยอะแล้ว
‘เศรษฐา’ ยังยอมรับว่า ‘รู้สึกยาก ลำบากใจและไม่สบายใจ’ ที่ต้องเซ็นย้าย ‘พล.ต.อ.ต่อศักดิ์’ และ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ เเต่จำเป็นต้องทำ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะกระทบกับการบริการราชการแผ่นดินหรือไม่ ‘เศรษฐา’ ตอบว่าไม่ทราบ เมื่อถามย้ำว่าคิดว่าเอาอยู่หรือไม่ ‘เศรษฐา’ นิ่งเงียบและไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว โดยคำนี้ ถือเป็นคำถามเดียวที่เศรษฐาไม่ตอบสื่อ และถามย้ำว่าเชื่อมั่นหรือไม่ว่าปัญหาลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ‘เศรษฐา’ ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ส่วนข้อสังเกตว่าการสั่งย้าย 2 นายตำรวจระดับสูงพร้อมกันครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มองเรื่องนี้อย่างไร ‘เศรษฐา’ ตอบว่า ไม่ได้มองอย่างไร เพราะแต่ละเหตุการณ์มีตัวแปรและบริบทที่ต่างกัน และเมื่อคดีจบแล้ว ทั้งคู่ก็สามารถกลับมาได้อีก ไม่อยากให้ไปขยายความขัดแย้งเพิ่ม
ส่วนเรื่องนี้เลวร้ายถึงขั้นมีการเกษียณก่อนจบคดีกันไปข้างหนึ่งหรือไม่ ‘เศรษฐา’ ย้ำว่าไม่ทราบ ต้องรอให้คณะกรรมการที่ดูแลคดีนี้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน และถ้าได้ข้อสรุปก่อน 60 วันยิ่งดี
เมื่อถามว่าในอดีตสำนักนายกรัฐมนตรีเคยตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคคลภายนอกขึ้นมาตรวจสอบตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่สุดท้านผลการตรวจสอบดังกล่าวไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ เนื่องจากขัดแย้งกับ พ.ร.บ.ตำรวจ ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบให้ กรณีนี้จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่
‘เศรษฐา’ ตอบว่า “ท่านใช้คำว่าอดีตนั้นถูกต้องแล้ว แต่นี่คือปัจจุบัน ผู้นำก็คนละคน” จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อื่นต่อ
แต่ที่น่าสังเกตคือกรณีที่เกิดขึ้น มีความคล้ายกับกรณีในสมัยรัฐบาลของ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่สั่งตั้งคณะกรรมการสอบ ‘คดีบอส วรยุทธ’ โดย คกก. ชุดดังกล่าวตรวจสอบทั้งตำรวจ อัยการ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และบุคคลทั่วไป แต่ท้ายที่สุด คกก. ชุดนี้ทำได้เพียง สรุปข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และส่งเรื่องกลับไปยังองค์กรต้นสังกัดให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อ เนื่องจาก คกก. ที่ตั้งขึ้นมาไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการเอาผิดตามกฎหมาย และไม่ได้มีผลผูกพันเกี่ยวกับความผิดวินัยในแต่ละองค์กร
นอกจากนี้ ยังน่าสังเกตว่าที่บริเวณโถงต้อนรับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะมีทำเนียบรูปอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการติดรูป ที่จากเดิมมีการติดรูปข้างเรียง 1 แถว จำนวน 2 จุด เปลี่ยนเป็นเรียงด้านละ 2 แถว โดยพบว่ารูปของ ‘พล.ต.อ.ต่อศักดิ์’ ซึ่งเป็น ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ได้นำไปถูกติดไว้เป็นคนแรกและคนเดียวของผนังอีกด้านที่มีการปรับปรุงใหม่
