คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยหลังลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนหลายพื้นที่ โดยแสดงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั่วประเทศ ว่า ขณะนี้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ค้ารายย่อย กำลังประสบปัญหารายได้ลดลงอย่างรุนแรง ขณะที่สถานการณ์โลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาและสงครามการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
รายงานจาก IMF และธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตเพียงร้อยละ 1 กว่า ๆ เท่านั้น ขณะที่ Moody’s Investors Service ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินชั้นนำของโลก ได้ส่งสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย
จึงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนร่างงบประมาณปี 2569 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ โดยเสนอให้ “รัดเข็มขัด” ลดงบฯ ที่ไม่จำเป็น เช่น งบฯ ก่อสร้างอาคาร อย่างงบฯ ที่จะเอาไปซ่อมอาคารสภาที่ใช้งานมาเพียงห้าปี งบฯ ก่อสร้างถนน งบฯ จัดซื้อคุรุภัณฑ์ รถประจำตำแหน่ง และงบฯ ศึกษาดูงานที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนเลย ปีนี้คือปีแห่งความไม่แน่นอน รัฐบาลจึงต้องใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสที่สุด
พร้อมยกตัวอย่างรายงานขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) ประเทศไทย ที่ออกมาชี้ว่าการใช้งบลงทุนในปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 900,000 ล้านบาท แต่มีการประเมินจากภาคเอกชนที่รับงานภาครัฐว่า “ต้องจ่ายใต้โต๊ะ” หรือมีการคอร์รัปชันสูงถึงร้อยละ 30 คิดเป็นเงินถึง 300,000 ล้านบาท หรือหนึ่งในสามของงบประมาณที่สูญหายไปเข้ากระเป๋านักการเมืองและข้าราชการขี้โกง ซึ่งควรจะเป็นงบที่นำไปพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา และสร้างอาชีพให้กับคนไทย
ปีนี้เป็นปีแห่งความไม่แน่นอน จึงต้องสำรองงบประมาณไว้มากที่สุด เพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ สงครามการค้า หรือภัยธรรมชาติต่าง ๆ
พร้อมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงจุดยืนจริงจังในการปราบปรามการทุจริต เพราะ “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” หากผู้นำไม่จริงใจในการปราบโกง การทุจริตก็จะยังคงอยู่ต่อไป และที่สำคัญจะต้องร่วมกัน “สร้างการเมืองสุจริต” ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ
คุณหญิงสุดารัตน์ เตือนด้วยว่า “รัฐบาลชุดนี้ใช้งบประมาณปี 2569 ด้วยการกู้เงินสูงเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น ทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินภาษีของประชาชน และเป็นภาระหนี้ที่ต้องจ่ายกันชั่วลูกชั่วหลาน รัฐบาลจึงต้องใช้งบฯ อย่างคุ้มค่าและซื่อสัตย์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง”