การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานที่ประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา เรื่องปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถามรมว.กลาโหม โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพานิช รมช.กลาโหม รักษาการรมว.กลาโหม เป็นผู้ชี้แจง
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า เชื่อว่าสถานการณ์วิกฤติไทยกัมพูชาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สิ่งที่คนไทยทั้งประเทศต้องการคือต้องการรัฐบาลที่มีความเข้มแข็ง แต่ในขณะเดียวกันต้องมีการเตรียมการสถานการณ์อย่างมีวุฒิภาวะ รอบคอบและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนบ้านให้ความเกรงอกเกรงใจรัฐบาล ซึ่งการที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินมาตรการต่างๆ เหล่านี้อย่างเข้มแข็ง และอย่างมีวุฒิภาวะเหมาะสมได้ มีมาตรการหลายส่วน ทั้งมาตรการทางด้านทหาร กดดันทางเศรษฐกิจ และมาตรการพุ่งเป้าไปยังเครือข่ายกลุ่มอิทธิพลของผู้นำกัมพูชา ที่วันนี้เราได้เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คลิปเสียงหลุดนั้นล้วนเกิดจากการบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด ที่ตัวผู้นำประเทศใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำสองประเทศจนนำไปสู่วิกฤตในครั้งนี้ที่คลี่คลายยากยิ่งขึ้น
ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า รมช.กลาโหม เป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา(ศบทก.) พึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้ถึงแม้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่รอระหว่างการโปรดเกล้าฯ รอระหว่างการถวายสัตย์ปฏิญาณ ยังไม่มีสุญญากาศใดๆ เพราะท่านในฐานะรมช. ยังบริหารราชการแผ่นดินในส่วนนี้ทดแทนอยู่ และตามที่นายกฯ เคยวางแนวปฏิบัติไว้ก่อนหน้านี้ว่า มาตรการต่างๆ ซึ่งนายกฯ เคยสื่อสารว่า มาตรการทางเศรษฐกิจที่ในบางกรณีหรือหลายกรณีนั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ต้องใช้ไปเพื่อการสร้างแรงกดดันเพื่อป้องกันผลกระทบจากการ เคลื่อนไหวของกำลังทหาร และการใช้อาวุธที่ใช้ปฏิบัติการในระยะไกลของฝ่ายกัมพูชาซึ่งมาตรการอื่นๆ เช่นมาตรการทางเศรษฐกิจนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากสถานการณ์ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่ดีขึ้น
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.68 เป็นต้นมา มีรายงานข่าวที่สอดคล้องกันทั้ง 2 ประเทศระหว่างไทยและกัมพูชาว่า กัมพูชาได้ปรับกำลังถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทแล้ว แต่พวกเราทราบกันดีว่า ในขณะนี้เรื่องของการควบคุมด่านชายแดนที่รัฐมนตรี อาจจะใช้คำว่า เป็นการเปิดด่านแบบจำกัดเวลา พวกเราปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นมาตรการกดดันทางด้านเศรษฐกิจที่ ด้านหนึ่งอาจจะมีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบกับประชาชนคนไทยเป็นวงกว้างด้วยเช่นเดียวกัน อยากเน้นย้ำว่า รัฐบาลต้องแสดงความเข้มแข็ง พวกเราไม่ได้เห็นต่างในเรื่องการใช้มาตรการกดดันทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหลายครั้งที่พรรคประชาชนได้เสนอข้อเสนอนี้ไปแล้ว แต่จะใช้อย่างไรให้เหมาะสม ใช้อย่างไรเพื่อแสดงออกว่า รัฐบาลบริหารสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ มีวุฒิภาวะ ไม่ดำเนินสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินความจำเป็น สิ่งที่อยากถามคือ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนยังมีความตึงเครียด ความกดดันทางด้านทางทหารที่กัมพูชาดำเนินการอยู่ใช่หรือไม่ ถ้ามี มีอย่างไร
พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.ที่มีการเคลื่อนย้ายกำลังกลับจากจุดที่เผชิญหน้ากันอยู่ ในครั้งนั้นที่เราพยายามเจรจาฝ่ายกัมพูชาคือ มีกำลังที่เผชิญหน้ามาอยู่ในระยะใกล้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการใช้อาวุธได้ ถ้ามีการเริ่มใช้อาวุธจะทำให้เหตุการตรึงเครียดและสถานการณ์อาจจะบานปลายได้ ถึงแม้กำลังที่เผชิญหน้าจะเคลื่อนย้ายกลับไปแล้ว แต่กำลังส่วนที่เหลือที่มีจำนวนมากมีทั้งอาวุธหนัก รถถังและปืนใหญ่ยังเป็นกำลังระลอกสองที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ยังมีความเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งเกิดความไม่เข้าใจกันแล้วอาจจะทำให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นที่ใช้อาวุธหนัก
พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมีประสบการณ์ในปี 2554 ที่เขาพระวิหาร ในครั้งนั้นอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายมียังไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน จึงมีแนวทางในการดำเนินการคลี่คลายความตึงเครียดในบริเวณชายแดน โดยประการที่ 1 รัฐบาลได้ตั้ง ศบทก. ทำงานภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ได้กำหนดแนวทางไว้อย่างชัดเจนบนพื้นฐานของสันติวิธีและการยึดถือศักดิ์ศรีความเป็นรัฐของทั้งสองฝ่าย
“ด้วยประสบการณ์ที่ผมเคยเป็นเลขาฯ สมช.เวลาประเทศมหาอำนาจใหญ่ใหญ่มาพูดคุยกับเรา ประเทศใหญ่เรานั้น ไม่เคยแสดงความเป็นประเทศใหญ่เลย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน รัสเซีย เขามาเจรจากับเรา เขายึดถือว่า เราก็เป็นประเทศหนึ่ง มหาอำนาจก็เป็นประเทศหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราก็จะยึดถือในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้การเจรจามุ่งเน้นการเจรจาแบบทวิภาคีกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยสันติและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ลุกลามบานปลาย คำว่าลุกลามบานปลายมีสองอย่างคือ บานปลายทางด้านการใช้อาวุธ และบานปลายทางเศรษฐกิจที่กระทบต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นศบทก.จะพยายามบูรณาการและขับเคลื่อนไม่ให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นบานปลายออกไป”
— พล.อ.ณัฐพล กล่าว
พล.อ.ณัฐพล ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ ศบทก.และรัฐบาลหนักใจมาก ปัจจุบันในประเทศไทยมีสองกระแสคือเพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนเรียกร้องให้รัฐบาลคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว ไม่อยากให้ใช้ความรุนแรง และขอความเห็นใจว่าเขาประสบความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งความปลอดภัย และเศรษฐกิจ และพี่น้องส่วนกลางในกทม.บอกว่าต้องยึดศักดิ์ศรีของเราเป็นหลักไม่อยากให้รัฐบาลอ่อนข้ออยากให้ใช้มาตรการที่เข้งแข็ง ซึ่งปัจจุบันสังคมมีลักษณะอย่างนี้ จึงขอความเห็นใจทุกภาคส่วนในประเทศไทยว่า ปัจจุบันคนมีความคิดกันอยู่สองกลุ่มอย่างนี้ ทำให้การตัดสินใจของรัฐบาลและศบทก.แต่ละเรื่องต้องใช้ความรอบคอบและชั่งน้ำหนักให้ดี
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ประการที่ 2 รัฐบาลดำเนินการโดยตระหนักว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีการชี้นำของนักการเมืองหรือผู้นำบางคน แต่สิ่งที่เราต้องรักษาไว้ให้มากคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีชายแดนติดกัน แม้จะมีความขัดแย้งกัน แต่ก็ไปไหนไม่ได้ ก็ต้องอยู่กันอย่างนั้น ทุกคนตระหนักตระหนักดีอยู่แล้วว่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเกิดจากส่วนบุคคล เพราะฉะนั้น เราจะต้องไม่นำความตึงเครียดนี้ขยายไปสู่ประชาชนโดยทั่วไป ประชาชนจึงควรไม่มาเป็นเหยื่อทางการเมือง ระดับรัฐจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่จะต้องดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนทั้งสองฝ่าย
พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ประการที่3 รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องดำเนินมาตรการควบคุมที่เข้มงวดบริเวณชายแดน เนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ทางการกัมพูชาได้มีการสั่งกำลังเคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่ชายแดน และฝ่ายไทยก็มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมกำลังในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคง แต่ขอย้ำว่า ทุกการเคลื่อนไหวของไทยอยู่ในกรอบสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการประทะโดยเด็ดขาด หากกัมพูชาไม่ล่วงล้ำอธิปไตยด้วยกำลังติดอาวุธ
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ประการที่ 4 ด้านการควบคุมชายแดนรัฐบาล ไทยยังมีความร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UNODC รวมถึงประเทศพันธมิตรในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะแสตมป์เมอร์ที่มีข้อมูลว่าแฝงตัวอยู่ในพื้นที่ใกล้แนวชายแดนจำนวนมากเราจึงมีความจำเป็นต้องตรวจสอบและควบคุมการเข้าออกตามแนวชายแดนอย่างเข้มข้นทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกของประเทศ และประการที่ 5 ในทุกมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการ ศบทก.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยมุ่งหวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดนกัมพูชากลับคืนสู่สภาพปกติสุขโดยเร็วที่สุด ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยา ยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
พล.อ.ณัฐพล กล่าวด้วยว่า กรณีที่ว่ากองทัพมีอำนาจหรือไม่ ซึ่งตรงกับที่หลายฝ่ายเข้าใจว่าปัจจุบันทำโดยกองทัพ เป็นเรื่องที่ลำบากใจ โดยพล.อ.ณัฐพลเป็นรัฐบาลเป็นการเมือง แต่ด้วยความที่ยังมียศทำให้คนมองว่า เป็นทหาร ในความเป็นจริงก่อนที่จะเข้ามารับหน้าที่ในตำแหน่งนี้เป็นฝ่ายบริหารผู้ใหญ่มองว่า เป็นทหารแล้วมาเป็นรัฐบาล มีข้อดีตรงที่ว่าเวลาไปอยู่รัฐบาล ก็เป็นการเมือง เวลากลับไปกองทัพก็เป็นทหาร
“แต่ผลที่ผ่านมายังไม่เป็นไปตามที่คิด เวลากลับไป กองทัพเขาก็มองว่า ผมเป็นรัฐบาล เวลาผมอยู่ในรัฐบาล เขาก็มองว่า ผมเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นปัจจุบัน เวลาผมทำงานเป็นรัฐบาล ก็ทำงานเป็นรัฐบาล โดย ผมเป็นผอ.ศบทก.และการให้อำนาจบางประการกับกองทัพเป็นการชั่วคราวเฉพาะหน้า และอยู่ภายใต้การกำกับของ ศบทก.เราประชุมกันทุกขั้นตอนไม่ได้ปล่อยให้กองทัพมีอิสระโดยลำพังอย่างที่วิจารณ์กัน ณ ปัจจุบันวันนี้ เริ่มมีสัญญาณบวก ทางฝ่ายระดับสูงของกัมพูชาเริ่มมีการคุย ที่ผ่านมาเขาไม่ยอมคุยแต่ 2-3 วันนี้เขาเริ่มมาคุยว่า เชิญไปเข้าประชุมทวิภาคี จีบีซี มีเงื่อนไขอย่างไร ปัจจุบันด้วยสถานการณ์ทางด้านโซเชียลฯทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาทำให้การพูดคุยในเรื่องเงื่อนไขเราก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกัน ขอเรียนว่า มีสัญญาณบวกอย่างน้อยเขามาคุย ก็ถือว่าบวกแล้ว คุยรู้เรื่องไม่รู้เรื่อง ก็ต้องใช้ ความสามารถกันอีกทีหนึ่ง”
— พล.อ.ณัฐพล กล่าว
จากนั้น ณัฐพงษ์ ถามอีกว่า อยากได้ข้อเท็จจริงวัตถุประสงค์ชัดๆ ว่าตอนนี้ที่รัฐบาลยังคงมาตรการในการควบคุมด่านอยู่ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการกดดัน สร้างแรงกดดันเพื่อนำไปสู่อะไร เพราะพวกเราเห็นว่า ถ้าใช้อย่างไม่เหมาะสมแทนที่จะเป็นมาตรการในการสร้างแรงกดดัน จะกลายเป็นมาตรการสร้างความตึงเครียด ที่ทำให้การบริหารสถานการณ์เดินไปด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ส่วนมาตรการอื่นๆ นอกเหนือจากมาตรการความมั่นคง และมาตรการทางเศรษฐกิจ คือมาตรการพุ่งเป้าไปที่ตัวผู้นำหรือเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในประเทศกัมพูชา นั่นคือการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการดำเนิน คดีลอบสังหารฝ่ายค้านกัมพูชาในประเทศไทย จึงอยากจะถามความคืบหน้าทางรัฐบาลว่าเป็นอย่างไรบ้างในขณะนี้
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทราบมาว่าทางกองทัพได้มีการประสานงานไปยังคณะที่ปรึกษาการทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย หรือจัสแมกเพื่อประสานขอกำลังบำรุง และเครื่องกระสุนสหรัฐฯ ผ่านกลไกนี้ เพื่อเตรียมประสิทธิภาพของกองทัพไทย เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ทราบว่าเรื่องนี้ถูกคว่ำลง เนื่องจากฝ่ายการเมืองปัดตกคำขอนี้ ดังนั้น ในฐานะที่อยู่ฝ่ายการเมือง พวกเราจึงอยากได้เหตุและผลว่า ในเมื่อกองทัพขอรับการสนับสนุนเครื่องกระสุนสหรัฐฯ ผ่านกลไกจัสแมก ทำไมฝ่ายการเมืองจึงคว่ำข้อเสนอนี้ของกองทัพ มีเหตุและผลอย่างไร เป็นเพราะเกรงใจต่อประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ที่พวกเราก็รับรู้กันดีว่า ประเทศมหาอำนาจนั้นให้การสนับสนุนกัมพูชามีฐานทัพเรือในประเทศกัมพูชาด้วยใช่หรือไม่
ด้านพล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า เรื่องความกดดัน ในห้วงเวลาที่ผ่านมาที่อังเคิลโพสต์มาตลอด ทำให้มีความรู้สึกว่าเราใช้ความกดดันและตึงเครียด ซึ่งมาตรการชายแดนยืนยันว่า ไม่ได้กดดันอะไรมาก ไม่ได้ปิดด่าน มีเพียงการจำกัดการเข้าของบุคคลและยานพาหนะออกตามจุดผ่านแดนเท่านั้น แต่การโพสต์ในโซเชียลฯของผู้นำกัมพูชา ทำให้รู้สึกว่ามีการกดดัน เช่น จุดผ่านแดนช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ที่ประตูฝั่งไทยเปิด แต่ประตูฝั่งกัมพูชานั้นปิด ดังนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดนั้น ผู้นำกัมพูชา อยู่ที่พนมเปญ อาจได้รับข่าวคลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง