สภาวะเก้าอี้ รมว.กลาโหม ของ ‘สุทิน คลังแสง’ ระส่ำหนัก ฝุ่นตลบปรับ ครม. ในขั้ว ‘เพื่อไทย’ ด้วยกันเอง ทำให้ ‘สุทิน’ เร่งเครื่องทำผลงาน เปรียบเป็น ‘เดิมพัน’ ครั้งสำคัญ หนึ่งในนั้นคือการแก้ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่เรียกว่า ‘ท้าชนกองทัพ’ ชัดเจน แต่อีกแง่หนึ่งก็ถูกมองว่าเป็นแค่การ ‘ตีปี๊บผลงาน’ หรือไม่
หนึ่งในร่างแก้ไขที่ถูกโฟกัสคือการ ‘ป้องกัน’ การทำ ‘รัฐประหาร’ ซึ่งหนึ่งในคณะทำงานฯ ในเรื่องนี้ ระบุว่า เป็นการแก้กฎหมายเพื่อ ‘ป้องกัน’ เพราะต้องยอมรับว่า เมื่อการทำ ‘รัฐประหาร’ เกิดขึ้นแล้ว รธน. ก็จะถูกยกเลิก การร่าง รธน. ขึ้นใหม่ ก็จะมี ‘บทเฉพาะกาล’ ที่ ‘นิรโทษ’ ให้กับ ‘คณะรัฐประหาร’ ย้อนหลัง
ดังนั้นการแก้ พ.ร.บ.กลาโหมฯ จึงเป็นเพียงการ ‘ป้องกัน-ยับยั้ง’ เท่านั้น โดยให้อำนาจ นายกฯ สั่ง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ กับ ‘ข้าราชการทหาร’ ที่คิดก่อการ-ใช้กำลัง ‘ยึดอำนาจ-ก่อกบฎ’ แต่ นายกฯ จะสั่ง ‘ปลด’ หรือ ‘ให้ออกราชการ’ ไม่ได้ เพราะมี ‘กฎหมายอื่นๆ’ แยกออกไปอีก
แต่คำถามที่เกิดขึ้นตามมาอีก นั่นคือ ‘หลักเกณฑ์-พฤติการณ์’ ที่จะเข้าข่าย ‘วางกำลังคิดก่อการ’ เป็นรูปแบบใด ที่ นายกฯ จะสามารถใช้อำนาจสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้
สำหรับ ‘กระบวนการ’ หลังจากแจ้งให้ ’สภากลาโหม’ รับทราบ ก็เข้าสู่กระบวนการแสดงความเห็นจากสังคม แล้วจะเข้าที่ประชุม ‘สภากลาโหม’ เห็นชอบอีกครั้ง แต่ไม่ถึงขั้นโหวต แล้วจะทำเรื่องเสนอ ‘เลขาธิการ ครม.’ เพื่อนำเข้า ครม. และเข้าสู่กระบวนการทางรัฐสภาต่อไป
หนึ่งในคณะทำงานฯ เชื่อว่า ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ก็จะเห็นด้วย เพราะไม่ได้ไปทำร้ายใคร อีกทั้งในคณะทำงานมี ‘ทหารพระธรรมนูญ’ อยู่ด้วย จึงผ่านตาฝ่ายทหารมาแล้ว อีกทั้ง ผบ.เหล่าทัพ ก็ไม่ได้มีท่าทีใดๆ ในวงประชุมสภากลาโหมที่มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา
ทว่าการแก้ พ.ร.บ.กลาโหมฯ ในซีก ‘ก้าวไกล’ ก็แสดงท่าทีเห็นด้วย พร้อมเพิ่มเติมให้พุ่งเป้าไปที่ ‘สัดส่วนสภากลาโหม’ ที่ให้มีสัดส่วน ‘พลเรือน’ มากขึ้น เพราะสมาชิกสภากลาโหม เกือบทั้งหมดเป็น ‘นายทหาร’ ทั้งสิ้น
ส่วน ‘พลเรือน’ จะมีแค่สัดส่วน ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ’ ไม่เกิน 3 คน ที่ รมว.กลาโหม แต่งตั้งตามมติสภากลาโหม ซึ่งในส่วนนี้ในร่างแก้ พ.ร.บ.กลาโหมฯ ของ ‘เพื่อไทย’ ได้ปรับเพิ่มจาก 3 เป็น 5 คน
อีกสิ่งที่เปรียบเป็น ‘กล่องดวงใจกองทัพ’ คือ ‘บอร์ด 7 เสือกลาโหม’ หรือ ‘คณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายทหารชั้นนายพล’ ตามมาตรา 25 ของ พ.ร.บ.กลาโหมฯ ที่ ‘เพื่อไทย’ ยังไม่เสนอแก้ไข ซึ่ง 7 เสือกลาโหม ได้แก่ รมว.กลาโหม รมช.กลาโหม ปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด , ผบ.ทบ. , ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ.
ซึ่งทางฝั่ง ‘ก้าวไกล’ เสนอให้ตัดอำนาจส่วนนี้ ที่เรียกว่า ‘ซุปเปอร์บอร์ด’ ออกไป แล้วเปลี่ยนเป็น ให้ ‘คณะกรรมการ’ ที่ส่วนราชการตั้งขึ้นพิจารณาในขั้นตอนแรก แล้วส่งต่อให้ รมว.กลาโหม พิจารณาตามหลักเกณฑ์กระทรวง เพื่อไม่ให้ รมว.กลาโหม ให้เป็นเหมือน ‘ตรายางรับรอง’ เท่านั้น
ซึ่งในเรื่องนี้ทีมที่อยู่กับ ‘สุทิน’ ระบุว่าต้อง ‘กินข้าวทีละคำ’ ต้องค่อยๆทำ เพราะต้องแยกไปอีกกฎหมาย คือ ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล พ.ศ.2551
อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวถูกจับโยงว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลัง ‘สุทิน’ เข้ารดน้ำขอพร ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เมื่อ 9 เม.ย. ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พร้อมพูดคุยเรื่องงานพรรค รายงานความคืบหน้างานในส่วน ก.กลาโหม กว่า 1 ชั่วโมง หรือไม่
แต่มีรายงานว่าร่างแก้ พ.ร.บ.กลาโหมฯ คณะทำงานดำเนินการเสร็จมา 2-3 สัปดาห์แล้ว ก่อนนำเข้าที่ประชุมสภากลาโหม 19 เม.ย.ที่ผ่านมา
การเสนอแก้ พ.ร.บ.กลาโหมฯ ครั้งนี้เรียกว่า ‘ล้วงลูกกองทัพ’ อย่างชัดเจน หากในกรณีที่ ‘เพื่อไทย’ ไปจับมือ ‘ก้าวไกล’ ทุบสิ่งที่เป็น ‘กล่องดวงใจกองทัพ’ เมื่อนั้นสถานการณ์อาจ ‘เร่ง’ มาสู่การ ‘เปลี่ยนแปลง’ ทางการเมือง ภายใต้ ‘รัฐบาลข้ามขั้ว’
ซึ่งในขณะนี้ ‘ดีลลับลังกาวี’ ยังคง ‘ทำงาน-ต่อรอง’ ผ่านตำแหน่ง รมว.กลาโหม ในการวัดพลังระหว่าง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ กับ ‘บิ๊กเล็ก’พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่สูตรแบบ ‘ประนีประนอม’ อาจออกมาในรูป ‘เศรษฐา’ ควบ รมว.กลาโหม ส่วน ‘บิ๊กเล็ก’ นั่ง รมช.กลาโหม ก็เป็นได้
แต่ ‘บิ๊กเล็ก’ ก็เผชิญกับกระแส ‘คนเสื้อแดง’ ต่อต้าน เฉกเช่นที่เคยโดนมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ก่อนตั้ง ‘รัฐบาลข้ามขั้ว’ ที่ต้องมานั่ง เลขานุการ รมว.กลาโหม ไปพรางก่อนนั่นเอง
