แม้จะใช้เวลาสั้นๆ เพียง 2 วัน แต่การเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ 2567 ของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามคำเชิญของ ‘รานิล วิกรมสิงเห’ (H.E. Mr. Ranil Wickremesinghe) ประธานาธิบดีศรีลังกา ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวพันกับด้านเศรษฐกิจ-การค้า เนื่องด้วยทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามความตกลง 3 ฉบับ ได้แก่

1) ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ศรีลังกา โดยมี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ กัจจกธุเค นลิน รุวันชีวะ เฟอร์นานโด (Hon. Kachchakaduge Nalin Ruwanjeewa Fernando) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ การค้า และความมั่นคงทางอาหาร เป็นผู้ลงนามฝ่ายศรีลังกา

2) ร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ฉบับใหม่ ระหว่างไทยและศรีลังกา ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแทนที่และยกเลิกความตกลงฯ ฉบับที่ลงนามเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2493 โดยจะลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกด้านการค้า การบริการทางอากาศระหว่างทั้งสองประเทศ สิทธิทางการบิน ความปลอดภัย ศุลกากร ฯลฯ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
โดยฝ่ายไทยมี จักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนาม และ นิเลตตี นิมัล สิริปาละ เด ซิลวา (Hon. Niletthi Nimal Siripala De Silva) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่าเรือและการขนส่งทางทะเล เป็นผู้ลงนามฝ่ายศรีลังกา

3) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับ The Gem and Jewellery Research and Training Institute of Sri Lanka เพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาอัญมณีและส่งเสริมการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งไทยสามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบและแหล่งอัญมณี รวมทั้งการแลกเปลี่ยนและฝึกอบรมบุคลการที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย
โดยมี สุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ บี. จี. อาร์. ดับเบิลยู. กัมลัต (Mr. B. G. R. W. Gamlath) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและฝึกอบรมอัญมณีและเครื่องประดับแห่งศรีลังกา เป็นผู้ลงนามฝ่ายศรีลังกา

ในการแถลงข่าวร่วมกัน นายกรัฐมนตรีไทย ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ‘ไทย-ศรีลังกา’ อันแน่นแฟ้นและใกล้ชิดในทุกระดับ ซึ่งมีรากฐานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพระพุทธศาสนา
ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำถึงศักยภาพมหาศาลระหว่างกัน โดยไทย เชื่อว่าการลงนาม FTA จะกระตุ้นการค้าและการลงทุนให้มากขึ้น และการลงนาม MOU อีก 2 ฉบับ ทั้งด้านการบินและการพัฒนาอัญมณี จะช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยง การท่องเที่ยว และการขนส่ง ในอนาคต ส่วนการประชุม Sri Lanka - Thailand Business Forum ยังเป็นการเวทีในการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่จะตามมาอีกมากให้กับภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้นำไทยและศรีลังกา ต่างสนับสนุนให้ภาคเอกชนขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นในอนาคต
ด้านการลงทุน ไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยโครงการ Landbridge ซึ่งเชื่อมโยงทะเลอันดามันกับอ่าวไทย และลดระยะเวลาการขนส่งระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยไทยและศรีลังกา สามารถร่วมมือกันในการเสริมสร้างความเชื่อมโยง และโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านโครงการ Landbridge ของไทย และท่าเรือโคลัมโบ ของศรีลังกา
ด้านการท่องเที่ยว ไทยยินดีที่การบินไทยจะกลับมาให้บริการเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ระหว่างกรุงเทพฯ และโคลัมโบ ทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2567 ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ไทยยังเสนอความร่วมมือไตรภาคีเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทางเรือสามประเทศ ระหว่างอินเดีย ศรีลังกา และไทย รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและพุทธศาสนาระหว่างกัน
ด้านการพัฒนา ไทยสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของศรีลังกา โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและการประมง และยินดีที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสำเร็จของการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญในด้านการเพาะเลี้ยงปลาการ์ตูน และโครงการในด้านสวัสดิภาพและถิ่นที่อยู่ของช้างระหว่างกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการอำนวยความสะดวกของศรีลังกาในการส่งพลายศักดิ์สุรินทร์ กลับประเทศ เพื่อรับการรักษาพยาบาลเมื่อปีที่แล้ว และขอบคุณการดูแลช้างไทยอีกสองเชือก ซึ่งช้างนับเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทย-ศรีลังกา

นายกรัฐมนตรี เห็นว่า ควรหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับการยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนการท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้น
ผู้นำไทยและศรีลังกา ยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าและการรรลุเป้าหมายร่วมกัน ไม่เพียงแต่ในระดับทวิภาคีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในเวทีพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวที BIMSTEC สมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association: IORA) และอาเซียน เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ซึ่งไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมสุดยอด BIMSTEC ครั้งที่ 6 ในปีนี้ ยินดีส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและสร้างสรรค์จากฝ่ายศรีลังกา
นอกจากนี้ ไทยในฐานะเป็นผู้สมัครของอาเซียน ในการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council: HRC) สำหรับวาระปี 2568 - 2570 พร้อมทำงานร่วมกับศรีลังกา อย่างสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น