เทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช วิพากษ์วิจารณ์ประเด็น ‘พ.ร.บ.นิรโทษกรรม’ ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยตั้งข้อสังเกตว่า “พรบ.นิรโทษกรรม:ปรองดองจริงหรือ?”
อดีต สส.นครศรีธรรมราช ระบุว่ากรณี นพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการนิรโทษกรรม จะดำเนินการยื่นต่อสภาทันที หลังจากที่เปิดสมัยประชุมสภา ช่วงเดือน ธ.ค. ตามมติการประชุม สส.ของพรรค ยึดหลักเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง แต่ไม่รวมมาตรา 110 มาตรา 112 รวมถึงคดีทุจริต และคดีอาญาที่ร้ายแรง โดยเชื่อว่ามวลชนจะเข้าใจ เพราะหลักการการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนั้น ต้องคำนึงถึงการสร้างความปรองดอง ไม่ต้องการเพิ่มความขัดแย้ง
ผมเห็นว่าการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีเป้าหมายเพื่อความปรองดอง และสมานฉันท์ของคนในชาติ แต่ต้องเป็นความเห็นพ้องของทุกภาคส่วน และได้ประโยชน์จากการนิรโทษกรรมทุกกลุ่มที่เป็นคดีการเมืองด้วย จึงจะทำให้การนิรโทษกรรมบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง
แต่ตอนนี้การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กำลังซ้ำรอยเดิมของการออก พ.ร.บ.โทษกรรมแบบสุดซอย สมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีคนเห็นต่างและคัดค้านกันเป็นจำนวนมาก จนมีการนัดชุมนุมประท้วงทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน และอำนาจนอกระบบก็เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศ
การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เกรงว่าจะเป็นจุดชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีการได้ประโยชน์เฉพาะบางกลุ่ม และเสียประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์ในบางกลุ่ม ซึ่งอาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกได้ คนที่ไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ คงไม่ยอมและไม่พอใจ อาจจะถึงขั้นเคลื่อนไหวทางการเมือง จุดม็อบ ชุมนุมสร้างความขัดแย้งในสังคมรอบใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้
เพราะฉะนั้นการที่พรรคเพื่อไทยออกมายกข้ออ้างเรื่องความปรองดองนััน เป็นการอ้างเหตุผลทางทฤษฎีแต่ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ว่า จะมีการปรองดองกัน จึงทำให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่ตอบโจทย์ของสังคม
ผมไม่มีส่วนได้เสียใดๆ กับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ แต่ยึดหลักการว่า ถ้าจะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์ จะต้องมีการนิรโทษให้กับคดีการเมืองทุกกลุ่ม ถ้าไม่นิรโทษให้กับทุกกลุ่ม ความปรองดองก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อความปรองดองไม่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปทำไม