รัฐสภา (15 สิงหาคม 2567) พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรักษาการ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมด้วยสมาชิกพรรค ร่วมกันแถลงจุดยืนต่อการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้มีมติสนับสนุนให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรครวมไทยสร้างชาติยังยืนยันหลักการเดิมว่าต้องไม่มีนโยบายที่จะแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค รทสช. กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่กลับมา เพราะเป็นองคมนตรีแล้ว อย่าเอาข่าวแบบนี้มาทำให้มีปัญหา เพราะองคมนตรีไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อีกทั้งตามมารยาทแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแต่แรก ก็ต้องให้สิทธิกับพรรคแกนนำรัฐบาลก่อน
หัวหน้าพรรค รทสช. กล่าวอีกว่า การทำงานของรัฐบาลยังคงต่อเนื่อง เพียงแค่เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น รวมทั้งโควตาของรัฐมนตรี (รมต.) เท่าที่ทราบมาทุกพรรคก็ทำงานต่อเหมือนเดิม ส่วนความพึงพอใจนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็พอใจการทำงานที่ผ่านมาส่วนพรรคอื่นต้องไปถามเอาเอง ขณะที่การหารือที่บ้านจันทร์หล้า เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมาไม่ใช่ข้อตกลง แต่เป็นก็ลักษณะนั้น
เมื่อถามถึงความกังวลในด้านสุขภาพของนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย พีระพันธุ์ กล่าวว่า ก็ไม่ทราบ เพราะจากข่าวก็ยังไม่มีการสรุปว่าแคนดิเดตจะเป็นนายชัยเกษม ซึ่งจากข่าวที่ออกมาก็ทราบเพิ่มว่าพรรคเพื่อไทยจะประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งในช่วงบ่ายวันนี้ (15ส.ค.) โดยมารยาทต้องเป็นเรื่องของพรรคแกนนำ ส่วนเรื่องปัญหาก็ต้องให้พรรคหลักเป็นผู้จัดการ
เมื่อถามว่าทางพรรคพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการดิจิตัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทยต่อใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรค รทสช. กล่าวว่า ในเรื่องของนโยบายยังยึดเช่นเดิม แต่ที่ยืนยันคือการแก้ไข มาตรา112 ส่วนนโยบายเรือธงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แม้ว่าก่อนหน้านี้พรรครวมไทยสร้างชาติจะกังวลว่านโยบายนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จนกระทั่งมีการชี้แจงจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการคลังว่าสามารถทำได้ อย่างไรก็ตามก็ต้องให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ชี้แจงว่าจะมีปัญหาหรือทำต่อไปได้หรือไม่
ทั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังออกแถลงการณ์ ยืนยันสนับสนุนผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 1 พร้อมเน้นย้ำหลักการเดิมคือ จะต้องไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และการป้องกันปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
