‘นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม’ แกนนำกลุ่มไทยภักดี แสดงความคิดเห็นถึงท่าทีของ ส.ว. ต่อการโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ว่า ตามหลักการคนที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ ควรจะมีสิทธิ์ในการนำเสนอ แต่บังเอิญคนที่รวมเสียงข้างมากได้วันนี้ มันมีความผิดปกติ มีความเสี่ยงต่อการล้มล้างการปกครอง เสี่ยงต่อขบวนการแยกดินแดน ข้อกังวลเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ ส.ว. พิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบมากขึ้น
นพ.วรงค์ ยังมองว่าถ้าพรรคก้าวไกล ไม่มีเรื่องที่จะไปสร้างปัญหาให้ประเทศ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 เรื่องการล้มล้างการปกครอง การแบ่งแยกแผ่นดิน ตนก็พร้อมเชียร์เต็มที่เลย แต่พอมีประเด็นเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกคาใจอยู่ และจริงๆ ช่วงหลังยิ่งเห็นว่ามีความพยายามที่จะกดดัน ส.ว. มากขึ้น ด้วยการเอามวลชนมากดดัน เอาเด็กอายุ 10 ขวบ มากดดัน ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เสียคะแนนมากกว่าเป็นผลดี
“ถ้าถามส่วนตัวผมนะ ผมอยากให้เขาเป็นนะผมจะได้ดูซิว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรบ้าง ปัญหากลียุคต่างๆ ถ้าเขาฝืนจะทำ เพราะอย่าลืมว่าเขาได้มา 151 เสียง มันไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ มันไม่ได้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณเอาคนอื่นมาผสมผสาน และผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกไม่ได้ผูกมัดกับมาตรา 112 ดังนั้นการที่เขาเอามาตรา 112 มาผูกมัดกับ 14 ล้านเสียง มันเป็นการมโน”
นพ.วรงค์ อธิบายเพิ่มเติมว่าที่เขากล้าพูดว่าเป็นการมโน เพราะในเมื่อ กกต. บอกว่าห้ามใช้เรื่องเกี่ยวกับสถาบันมาหาเสียง แต่คุณเอามาตรา 112 มาผูกกับ 14 ล้านเสียง ถือว่าขัดแย้งกับสิ่งที่ กกต. กำหนด แต่ไม่ว่าอย่างไร ส่วนตัวก็อยากจะดู และรอวันนั้น ส่วน ส.ว. จะตัดสินอย่างไรถือว่าเป็นเอกสิทธิ์
เมื่อถามว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีจะจบภายในวันเดียวหรือไม่ นพ.วรงค์ ระบุว่าโดยปกติแล้วมันจบเลย แต่ถ้าไม่จบโดยมารยาทเท่ากับว่าคุณตกแล้ว
“โหวตวันแรกถ้าคุณได้คือได้ ถ้าไม่ได้เท่ากับว่าคุณตกแล้ว คุณต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นนี่คือสปิริต ไม่ใช่ถูไถไปเรื่อยๆ ด้วยหลักประชาธิปไตย ญัตติไหนตกไปแล้ว มันควรจะตกไปเลย คือ คุณแพ้แล้ว คุณจะแพ้เลย และควรจะเปิดโอกาสให้พรรคอื่นรวบรวมเสียงข้างมาก”
ส่วนประเด็นที่มีหลายกลุ่มประกาศเตรียมออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ เพื่อเรียกร้องให้สนับสนุน ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี นพ.วรงค์ เชื่อว่าจะไม่มีเหตุรุนแรง และจะช่วยให้ ส.ว. มีสติมากขึ้น และบางทีการกดดันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี และอาจยิ่งทำให้คนยิ่งรู้สึกเป็นห่วงชาติบ้านเมืองยิงขึ้น จึงมองว่าหากไม่มีการกดดันอาจจะได้ แต่ถ้าคุณกดดันอาจไม่ได้
นพ.วรงค์ ยังมองว่าถ้าพรรคก้าวไกล ไม่มีเรื่องที่จะไปสร้างปัญหาให้ประเทศ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 เรื่องการล้มล้างการปกครอง การแบ่งแยกแผ่นดิน ตนก็พร้อมเชียร์เต็มที่เลย แต่พอมีประเด็นเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกคาใจอยู่ และจริงๆ ช่วงหลังยิ่งเห็นว่ามีความพยายามที่จะกดดัน ส.ว. มากขึ้น ด้วยการเอามวลชนมากดดัน เอาเด็กอายุ 10 ขวบ มากดดัน ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เสียคะแนนมากกว่าเป็นผลดี
“ถ้าถามส่วนตัวผมนะ ผมอยากให้เขาเป็นนะผมจะได้ดูซิว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรบ้าง ปัญหากลียุคต่างๆ ถ้าเขาฝืนจะทำ เพราะอย่าลืมว่าเขาได้มา 151 เสียง มันไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ มันไม่ได้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณเอาคนอื่นมาผสมผสาน และผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกไม่ได้ผูกมัดกับมาตรา 112 ดังนั้นการที่เขาเอามาตรา 112 มาผูกมัดกับ 14 ล้านเสียง มันเป็นการมโน”
นพ.วรงค์ อธิบายเพิ่มเติมว่าที่เขากล้าพูดว่าเป็นการมโน เพราะในเมื่อ กกต. บอกว่าห้ามใช้เรื่องเกี่ยวกับสถาบันมาหาเสียง แต่คุณเอามาตรา 112 มาผูกกับ 14 ล้านเสียง ถือว่าขัดแย้งกับสิ่งที่ กกต. กำหนด แต่ไม่ว่าอย่างไร ส่วนตัวก็อยากจะดู และรอวันนั้น ส่วน ส.ว. จะตัดสินอย่างไรถือว่าเป็นเอกสิทธิ์
เมื่อถามว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีจะจบภายในวันเดียวหรือไม่ นพ.วรงค์ ระบุว่าโดยปกติแล้วมันจบเลย แต่ถ้าไม่จบโดยมารยาทเท่ากับว่าคุณตกแล้ว
“โหวตวันแรกถ้าคุณได้คือได้ ถ้าไม่ได้เท่ากับว่าคุณตกแล้ว คุณต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นนี่คือสปิริต ไม่ใช่ถูไถไปเรื่อยๆ ด้วยหลักประชาธิปไตย ญัตติไหนตกไปแล้ว มันควรจะตกไปเลย คือ คุณแพ้แล้ว คุณจะแพ้เลย และควรจะเปิดโอกาสให้พรรคอื่นรวบรวมเสียงข้างมาก”
ส่วนประเด็นที่มีหลายกลุ่มประกาศเตรียมออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ เพื่อเรียกร้องให้สนับสนุน ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี นพ.วรงค์ เชื่อว่าจะไม่มีเหตุรุนแรง และจะช่วยให้ ส.ว. มีสติมากขึ้น และบางทีการกดดันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี และอาจยิ่งทำให้คนยิ่งรู้สึกเป็นห่วงชาติบ้านเมืองยิงขึ้น จึงมองว่าหากไม่มีการกดดันอาจจะได้ แต่ถ้าคุณกดดันอาจไม่ได้