‘ทศพล พรหมเกตุ’ เลขาธิการพรรคไทยภักดี เข้ายื่นหนังสื่อถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องการตั้งสาขาพรรคของ ‘พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล’ ว่ามีครบ 4 ภาค ก่อนเปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘พรรคประชาชน’ หรือไม่ เพราะจากข้อมูลของ กกต. พบว่ามีเพียง 3 สาขา แม้ภายหลัง เลขาฯ กกต. จะบอกว่าพรรคถิ่นกาขาวฯ มีครบ 4 สาขา ภายใน 1 ปีแล้ว เพียงแต่ข้อมูลบนเว็บไซต์ กกต. ยังไม่อัปเดต แต่พรรคไทยภักดี มองว่าสิ่งที่ กกต. ชี้แจงไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งที่ต้องการคือการตรวจสอบย้อนหลังเป็นรายปี นับตั้งแต่ปี 2560 ที่เริ่มบังคับใช้กฎหมายพรรคการเมือง
(ตามกฎหมายพรรคการเมืองที่จดทะเบียนตั้งพรรคแล้ว ต้องมีสาขาพรรคอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา รวม 4 สาขา ภายใน 1 ปี หากมีไม่ครบ พรรคดังกล่าวถือว่าสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมือง)

อีกเรื่องที่ ‘เลขาธิการพรรคไทยภักดี’ ยื่นให้ กกต. ตรวจสอบ คือการที่ ‘พรรคประชาชน’ เปิดรับเงินบริจาคเข้าพรรค ทันทีหลังพรรคมีการประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่าเข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เนื่องจากวันที่ 9 ส.ค. พรรคถิ่นกาขาวฯ มีการประชุมใหญ่เพื่อเปลี่ยนชื่อพรรคเป็นพรรคประชาชน รวมถึงมีการเปลี่ยนโลโก้พรรค และเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ โดยในวันเดียวกันมีการเปิดรับเงินบริจาคทันที แต่ตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยพรรคการเมือง ข้อ 42 ระบุว่า ให้หัวหน้าพรรคและเหรัญญิกพรรคเป็นผู้เปิดบัญชีธนาคาร และต้องมี มีหลักฐานสำคัญประกอบการเปิดบัญชีคือ หนังสือรับรองรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคจากกกต. โดยวงเล็บว่าเพื่อการบริจาค
‘เลขาธิการพรรคไทยภักดี’ มองว่าการเปิดบัญชีธนาคาร ต้องมีหนังสือรับรองรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคจาก กกต. ไปยื่นต่อธนาคารพาณิชย์เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร จึงจะเป็นการทำตามระเบียบของ กกต. ว่าด้วยพรรคการเมืองข้อที่ 42 และขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ประชุมเสร็จมมีหนังสือรับรองเลย จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบว่าการเปิดรับบริจาคของพรรคประชาชนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ทั้งนี้ ทีมข่าวสเปซบาร์ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ตามระเบียบ กกต. ข้อ 42 นอกจากการให้อำนาจของผู้เปิดบัญชีแล้ว ไม่ได้มีการระบุว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้างประกอบการเปิดบัญชีพรรคการเมือง แต่ในบรรทัดสุดท้ายของ ข้อ 42 ระบุว่า ให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งหมายเลขบัญชีของบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีให้นายทะเบียนทราบภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่เปิดบัญชี
นอกจากนี้ ‘เลขาธิการพรรคไทยภักดี’ ยังมองว่า หากพรรคประชาชนไม่ยอมลดเพดานเรื่องมาตรา 112 อาจมีจุดจบซ้ำรอยกับพรรคก้าวไกลได้ และมองว่าไม่ควรมีการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ควรมีการคงไว้เพื่อความมั่นคงของรัฐ

ส่วนเรื่องที่ ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ อดีตแกนนำพรรคก้าวไกล ติง ‘หมอวรงค์’ หัวหน้าพรรคไทยภักดี และอดีต สส.พิษณุโลก ในทำนองว่า ควรเอาเวลาที่จับผิดคนอื่น ไปวางแผนส่งคนลงชิง สส. พิษณุโลกดีกว่า เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่าสนับสนุนแนวคิดใคร ‘เลขาธิการพรรคไทยภักดี’ ตอบว่า เรื่องนี้พรรคยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะส่งผู้สมัครลงชิง สส. หรือไม่ โดยตอนนี้ยังไม่มีการเคาะอะไร