คำว่าภาพๆ เดียวแทนคำพูดได้หมื่นล้านคำ น่าจะรวมถึงภาพนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่ออกมาสูดอากาศก่อนเข้าประชุมเรื่องน้ำ ที่หน้าตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงบ่ายอ่อนวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมาด้วย
ข่าวบอกว่า ก่อนประชุมเรื่องน้ำร่วมกับ นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ออกมาสูดอากาศ จิบกาแฟอเมริกาโน่ หน้าตึกไทยคู่ฟ้า อย่างอารมณ์ดี เนื่องจากได้ประชุมติดต่อหลายวงต่อเนื่อง
โดยนายกรัฐมนตรี ได้บอกกับคณะทำงานว่าขอสูดอากาศสักหน่อย รวมทั้ง เสนอแนวคิดว่าช่วงใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวเป็นไปได้หรือไม่จะมีการจัดกิจกรรมที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ และก่อนกลับเข้าตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรี ยังได้โบกมือให้สื่อมวลชน พร้อมส่งยิ้มให้
ข่าวบอกด้วยว่า ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจนอกทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมหลายวง รวมทั้ง ได้บันทึกเทปเตรียมออกอากาศในวาระต่างๆ อีก 4 รายการ
หากพินิจจากเนื้องานข้างต้น คงพออนุมานได้ว่า น่าจะเหนื่อยล้าจากภารกิจที่มีงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน จึงขอเวลานอกมาสูดอากาศ ดื่มกาแฟยามบ่ายชิลล์ๆ พักสายตากับสนามหญ้าสีเขียวดังว่า หาได้มานั่งฆ่าเวลาหรือหายใจทิ้งแต่อย่างใดไม่
แต่บังเอิญในห้วงเวลาที่ว่านั้น อยู่ในจังหวะของการเผชิญมรสุมลูกใหม่ หลังทำปืนลั่นใส่ขาตัวเองเข้าอย่างจัง เรื่อง "ตั๋วผู้กำกับ" ที่แม้จะปฏิเสธอย่างไร แต่สิ่งที่เรียกว่า "รอยเท้าบนโลกดิจิทัล" (Digital Footprint) มันได้ถูกบันทึกเอาไว้แล้ว

การก้าวพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคนชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ในรอบสองเดือนเศษบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มีตั้งแต่เรื่องใหญ่สุดกล่าวประณามการโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส มาจนถึงเรื่องเล็กน้อย ขว้างปากกา ใช้อารมณ์เกรี้ยวกราดกับข้าราชการ
ดูเหมือนจะยังพอปล่อยผ่านไปได้ แต่เที่ยวนี้ทำท่าจะหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง เพราะกำลังถูกฝ่ายค้านลากเข้าไปเล่นงานต่ออย่างน้อยในคณะกรรมาธิการ 2 คณะ ของสภาผู้แทนราษฎร
งานนี้แม้จะยึดหลักสุภาษิตไทย “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” ขอให้เลี่ยงการปะทะ ไม่ต้องให้ทีมทหารพิทักษ์ออกมาต่อปากต่อคำ ให้ความเงียบเป็นตัวจบเรื่อง
แต่นอกจากฝ่ายค้านแล้ว ยังมีภาคประชาชนที่เป็นนักร้องระดับแถวหน้าหลายคน เตรียมยื่นให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตรวจสอบมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ร่วมเช็กบิลด้วยอีกทาง
เรื่อง ‘ตั๋วผู้กำกับ’ จึงน่าจะไม่จบแบบง่ายๆ และเปิดสภามาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ฝ่ายค้านอาจถือโอกาส “ตีเหล็กร้อน” ประเดิมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ เศรษฐา เป็นปฐมฤกษ์ก็เป็นได้
ในท่ามกลางมรสุมการเมืองที่รุมเร้าหนัก ทั้งจากภายในภายนอก ไหนจะปัญหานโยบายแจกเงินหมื่นที่เป็นเรือธง ไม่รู้จะออกหัวออกก้อยอย่างไร ในรอบสองเดือนเศษนอกจาก “สีถุงเท้า” ที่สะดุดตาชาวโลกแล้ว ผลงานอย่างอื่นยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
กอร์ปกับแรงบีบเรื่องเงื่อนเวลาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ถูกบีบด้วยอิสรภาพของคนบนชั้น 14 และเงื่อนเวลาในรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤษภาคม 67 พร้อมๆ กับวาระของ สว.ชุดปัจจุบัน
จากนั้น การเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องไปว่ากันในสภาผู้แทนราษฎรล้วนๆ ในสถานการณ์ที่คนกดปุ่มอำนาจ ต้องการประคองรัฐนาวาเศรษฐา ไปให้ถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า
มันจึงเป็นแรงบีบที่ทำให้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ต้องครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาถึงจุดเปลี่ยนที่จะมาถึง อันเป็นวันที่จะมีการเปลี่ยนม้ากลางศึก ถ่ายเรือกันกลางลำธาร
ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามา อาจเป็นปมที่คนชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ต้องขบคิด การออกมาสูดอากาศรับลมหน้าตึกไทยคู้ฟ้าในวันก่อน หากไม่ใช่เพราะต้องการพักสายตาอยู่กับตัวเองแบบชิลล์ๆ
ก็น่าจะมาจากอารมณ์สับสนที่ทำให้ครุ่นคิดถึงวันข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน