วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ชี้ถึงกรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 10,028 ล้านบาท ว่า โดยหลักของการบริหารประเทศนั้นมุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก เม็ดเงินงบประมาณของประเทศจะถูกใช้ไปในการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจทั้งหมด จะใช้คำว่า “ขาดทุน” ไม่ได้
เห็นได้ชัดว่า จากรายงานทางการเงินของทาง สตง. เองก็ไม่เคยมีรายงานการปิดบัญชีว่ามีการขาดทุนเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าว หรือในระบบงบประมาณของประเทศไทยมาเลย
ซึ่งการทำนโยบายของรัฐตามที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน อย่างโครงการรับจำนำข้าว ก็เหมือนกับทุกนโยบายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประกันราคาข้าว ประกันยุ้งฉาง หรือโครงการช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ทั่วไป ไม่มีข้อแตกต่าง
และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ การดำเนินการเอาผิดกับยิ่งลักษณ์นี้ มีการใช้คำสั่งตามมาตรา 44 เข้ามาดำเนินการ ทำให้เกิดบรรทัดฐานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายในสายตาของนานาประเทศอื่น ๆ เป็นอย่างมาก
เพราะแม้ เช่น ประธานาธิบดีทรัมป์ ถึงจะออกนโยบายใด ๆ มา แล้วมีความเห็นของประชาชนกลุ่มหนึ่งบอกว่าผิดพลาดไม่เห็นด้วย ก็ไม่สามารถไปเอาผิดเขาได้ เพราะทำในฐานะผู้บริหารประเทศที่ตัดสินใจบนผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าทุกนโยบายก็ต้องมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว และการตัดสินใจทางการเมืองจะอยู่ที่ผลการเลือกตั้งของประชาชน แต่การเอาบรรทัดฐานซึ่งไม่ใช่บรรทัดฐานสากลมาบังคับใช้กับยิ่งลักษณ์ อาจทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายได้
วรวัจน์ กล่าวอีกว่า ประการสำคัญอีกประการหนึ่งคือ โครงการจำนำข้าวไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสเสียหายอย่างเดียว แต่มีโอกาสที่จะมีกำไรด้วย เพราะตัวเลขปิดบัญชีระหว่างปีเป็นแค่ตัวเลขในขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น การชี้แจงในกระบวนการว่ามีผลติดลบเป็นแค่ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น และมีเหตุเกิดขึ้นในระหว่างรอยต่อการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งขณะนั้นมีการปิดโกดังข้าวจนทำให้ข้าวเสื่อมราคา แม้ช่วงนั้นจะมีผู้ต้องการซื้อข้าวในราคาที่สูงแต่ก็ไม่สามารถซื้อได้ แต่กลับถูกขายออกไปในราคาที่ต่ำเหมือนกับข้าวหมดสภาพแล้ว
นี่คือปัญหาเชิงการเมืองที่จะพยายามเอาผิด มากกว่าปัญหาในทางปฏิบัติจริง ซึ่งเห็นว่าควรจะต้องมีการทบทวนในเรื่องนี้ และดำเนินการตามหลักนิติรัฐและนิติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่การเอาเหตุผลทางการเมืองในช่วงการปฏิวัติรัฐประหารมามีส่วนในการตัดสินใจ
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตจะไม่มีใครกล้าตัดสินใจทำนโยบายดี ๆ อะไรเพื่อพี่น้องประชาชนเลย เพราะทุกคนจะมัวเกรงว่าหากคิดทำนโยบายอะไรไปแล้ว ถึงแม้จะดีอย่างไร ก็อาจจะถูกนำกลับมาเล่นงานเชิงการเมืองได้อีกในภายหลัง
ความจริงแล้วต้องบอกว่า ถ้าถามพี่น้องชาวนาและประชาชน ก็จะได้คำตอบว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดีที่สุดโครงการหนึ่งที่พี่น้องชาวนาให้ความชื่นชม และแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ให้พี่น้องประชาชนมีเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้นได้อย่างแท้จริง ดีขึ้นจนกระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถลดการขาดดุลงบประมาณ เพราะได้รับภาษีเพิ่มมากขึ้น
ในภาพรวมของทุกประเทศทั่วโลก ทุกประเทศต่างก็ดำเนินการในรูปแบบนี้ทั้งหมด คือโดยการใช้จ่ายเงินของภาครัฐจะไม่มีคำว่า “ขาดทุน” ประเทศไทยเราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาต่อการบริหารประเทศในระยะยาว
ผมได้ลองยกตัวอย่างข้อเท็จจริง โดยให้ลองตั้งคำถามลักษณะนี้กับ ChatGPT ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่ได้มีอคติทางการเมือง และไม่ได้เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บทวิเคราะห์ยังออกมาในลักษณะเดียวกันนี้เลย ดังนั้น ถ้าว่ากันด้วยหลักจริง ๆ คำตอบยังไงก็ออกมาตรงกันทั้งโลกครับ