ยศวริศ อ้างว่า ถูกยึดโทรศัพท์ไปตั้งแต่วันแรกในการมอบตัว จึงต้องพยายามนึกย้อนข้อมูลและไทม์ไลน์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยวันที่ 18 ธ.ค. 2566 ศรีสุวรรณ และตนเอง พบข้อพิรุธส่อทุจริตในกรมฝนหลวง เรื่องการบินเกษตร งบฯ 1,188 ล้านบาท และนัดหมายจะไปร้อง กมธ. วันที่ 20 ธ.ค. 2556 โดยมีข้อมูลตรงกับศรีสุวรรณ ว่า กรมการข้าว ก็มีเรื่องทุจริตเช่นเดียวกัน ต่อมาพรรคพวกรู้เรื่อง จึงขออย่าไปยุ่งกับกรมการข้าว เพราะอธิบดีฯ เป็นน้องเขา แตะไปเดี๋ยวจะมีปัญหา
ต่อมา ยศวริศได้โทรศัพท์ไปหาอธิบดีฯ แต่อีกฝ่ายไม่รับสาย กระทั่งเช้าวันที่ 21 ธ.ค. 2566 ได้โทรศัพท์กลับไป ปลายสายบอกว่าเป็นอธิบดีกรมการข้าว ก่อนมีการนัดหมายทานกาแฟ กระทั่งไปจบที่กรมการข้าว แถมมีการโทรศัพท์ตามหลายครั้ง
ยศวริศ ยังยืนยันด้วยว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตกลงจำนวนเงินตามที่เป็นข่าว 2 โล (ล้าน) เนื่องจากมีการไปพบยังบ้านพักของ ศรีสุวรรณแล้วก่อนหน้านี้ ส่วน พิมณัฏฐา ก็มีหน้าที่เพียงช่วยประสานงาน ไม่ใช่แก๊งค์ตบทรัพย์แต่อย่างใด และไม่คิดเลยว่างานนี้จะมาเจอ ‘งูเห่า’
เมื่อไปถึงที่กรมฯ ประมาณบ่ายโมง อธิบดีลงมารับผมที่หน้าตึก ผมก็ขึ้นไปที่ห้องของอธิบดี โดยมีภรรยานั่งอยู่ โดยเขาบอกว่า พี่ช่วยผมหน่อย ผมไม่ไหว พี่ช่วยเจรจาผมหน่อย ผมบอกไม่ต้องห่วง วันนี้มาเพื่อช่วย เพราะเพื่อนผมฝากไว้ ซึ่งอธิบดีบอกว่า ตัวเองเป็นเสื้อแดง และสนับสนุนเสื้อแดงมาตลอด ผมจึงช่วยเต็มที่ ช่วยด้วยหัวใจ เขาก็กราบที่ตัก ขอบคุณที่มาช่วยดูแล เดี๋ยวมีอะไรประสานกับภรรยาผมนะ ซึ่งภรรยาอธิบดีกรมการข้าว ถามว่า จะติดต่อกับใคร ผมจึงให้ติดต่อกับ น.ส.พิมณัฏฐา เพราะเขาเป็นเลขาฯ ของผมเอง
ยศวริศ ชูกล่อม
ยศวริศ ยังขอความเป็นธรรมกับพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย เพราะการตั้งข้อกล่าวหาตบทรัพย์ เป็นข้อหาที่รุนแรงเกินควร และอยู่ระหว่างให้ทนายความรวมรวบข้อมูลดำเนินคดีผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์และเกรียนคีย์บอร์ด เพราะสร้างความเสียหายมาก โดยศาลจะวินิจฉัยว่าตนเองผิดหรือไม่ผิด ไม่ใช่ตำรวจที่ออกมาพูด จนสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นแก๊งตบทรัพย์ อีกทั้งตั้งข้อสังเกตว่า ภรรยาอธิบดีฯ เปิดบริษัทด้วยเงินลงทุน 600 กว่าล้าน เหตุใดร่ำรวยมาก
นอกจากนี้ ยศวริศ ได้ยกพานธูปเทียนแพขึ้นสาบานว่า หากตนเป็นแก๊งตบทรัพย์ขอให้มีอันเป็นไป และถ้าไปไม่ได้เป็นแบบนั้น ขอบารมีพระแก้วมรกต ศาลหลักเมือง พระแม่ธรณี สิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนี้ไปจัดการคนที่กล่าวหาทุกข์ใจเป็นร้อยพันเท่า รวมทั้งทุกคนที่คิดและเกี่ยวข้องขอให้มีอันเป็นไป
สำหรับกรณีข้อความแชทที่มีเนื้อหาในลักษณะตามทวงเงิน พิมณัฏฐา ชี้แจงว่า เป็นเพียงตัวกลาง เมื่อตกลงว่าจะมีการทยอจ่าย แต่โอนไม่ตรงตามตกลง จึงต้องมีการติดตามทวงให้ เนื่องจากอาจถูกมองว่ายักยอก พร้อมยอมรับว่ายอดเงินที่ตนรับทราบมีเพียง 60,000 บาท แต่ยอด 100,000 บาทนั้นไม่ทราบ และยอดเงิน 10,000 บาท เป็นการโอนไปยังบัญชีม้า
ส่วนประเด็นข้อสงสัยเรื่องความสัมพันธ์นั้น ยศวริศ ยืนยันว่า พิมณัฏฐา เป็นเพียงเลขาฯ ส่วนตัว และยังรู้จักกับครอบครัวของตนเอง เพราะก่อนหน้านี้ครอบครัวของพิมณัฏฐา เป็นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมยืนยันไม่รู้จัก ‘นายหมู’ (สุธีร์) ที่ปรึกษาของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ยอมรับว่ารู้จักกับ ‘นายเอก’ ที่มีข้อมูลออกมาว่าเป็นตัวกลาง เพราะก่อนหน้านี้ นายเอก เคยนำเรื่องโครงการต่างๆ มาให้ตนเองตรวจสอบ รวมทั้งยืนยันว่า ไม่มีเส้นทางการเงินที่โอนให้กันระหว่างนายเอก และตนเองแน่นอน
ยศวริศ ยังยอมรับว่า มีการโทรศัพท์รายงาน ร้อยเอกธรรมนัส โดยหาหรือว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น จะให้ดำเนินการอย่างไร ซึ่งรัฐมนตรีบอกเพียงว่า ให้ตนเองจัดการให้เสร็จสิ้น แต่ไม่ได้ระบุว่าด้วยวิธีการใด อีกทั้งยังมีเพื่อนที่เป็นอดีตนักการเมือง แกนนำเสื้อแดง และมีการฝากฝังตนเองให้ช่วยเคลียร์ปัญหาดังกล่าวให้เรียบร้อย จึงอาสาเข้าไปเป็นตัวกลางในการพูดคุยกับอธิบดีกรมการข้าว โดยไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่บาทเดียว ขณะเดียวกัน ยอมรับว่า รู้จักกับ ‘ดร.เอก’ หนึ่งในผู้ที่ถูกตำรวจ ปปป. เข้าจับกุม หลังพบความเชื่อมโยงแก๊งตบทรัพย์ของศรีสุวรรณ แต่เป็นการรู้จักในฐานะที่ทำธุรกิจด้วยกัน แต่ยืนยันว่า ไม่เคยโอนเงินหรือรับโอนเงินจาก ดร.เอก
ผมเป็นเหยื่อการเมือง ไม่รู้ใครเป็นเป้าหมายและไม่ใช่ขบวนการตบทรัพย์ มาพูดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น และจากนี้คงจะไม่ร่วมไปร้องเรียนอะไรกับนายศรีสุวรรณ จรรยาอีก
