แอมเนสตี้แฉกัมพูชา ‘จงใจ’ ปล่อยให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ค้ามนุษย์

26 มิ.ย. 2568 - 10:22

  • แอมเนสตี้พบศูนย์สแกมเมอร์ 53 แห่ง และสถานที่ต้องสงสัยอีกหลายสิบแห่งทั่วประเทศ รวมถึงกรุงพนมเปญ

  • เพ็ญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า รายงานของแอมเนสตี้ “เกินจริง”

  • ศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชาสร้างรายได้ต่อปีมากกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจีดีพีของกัมพูชา

แอมเนสตี้แฉกัมพูชา ‘จงใจ’ ปล่อยให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ค้ามนุษย์

กลุ่มสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวหารัฐบาลกัมพูชาว่า “จงใจเพิกเฉย” ต่อการละเมิดของแก๊งอาชญากรทางไซเบอร์ที่ค้ามนุษย์จากทั่วโลก รวมถึงเด็ก เพื่อนำไปเป็นทาสในศูนย์สแกมเมอร์ที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุในรายงานว่า พบศูนย์สแกมเมอร์ 53 แห่ง และสถานที่ต้องสงสัยอีกหลายสิบแห่งทั่วประเทศ รวมถึงกรุงพนมเปญ

ศูนย์สแกมเมอร์ที่คล้ายเรือนจำดังกล่าวล้อมรอบด้วยรั้วสูงที่มีลวดหนาม มีชายติดอาวุธคอยเฝ้า และมีเหยื่อค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับให้หลอกลวงผู้คนทั่วโลกคอยทำงานให้ โดยเหยื่อค้ามนุษย์ที่อยู่ในนั้นจะถูกลงโทษต่างๆ เช่น การชอร์ตด้วยกระบองไฟฟ้า การขังไว้ในห้องมืด และการทุบตี

แอมเนสตี้กล่าวว่าการพบศูนย์สแกมเมอร์เผยให้เห็น “รูปแบบความล้มเหลวของรัฐ” ที่ปล่อยให้ธุรกิจมูลค่าพันล้านดอลลาร์นี้เติบโต รวมถึงความล้มเหลวในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชน การระบุตัวตนและช่วยเหลือเหยื่อ

เพ็ญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการนิ่งเฉย โดยบอกว่ามีคณะทำงานที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม และกล่าวว่ารายงานของแอมเนสตี้ “เกินจริง” และว่า กัมพูชาเป็นหนึ่งในเหยื่อของอุตสาหกรรมสแกมเมอร์และต้องการความร่วมมือมากกว่าการกล่าวโทษ

แม้ว่ากัมพูชาจะบุกจับกุมและปล่อยตัวแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์บางส่วน แต่แอมเนสตี้พบว่า ศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้มากกว่า 2 ใน 3 กลุ่มไม่ได้ถูกตำรวจสอบสวนหรือยังคงดำเนินการต่อไปแม้ว่าตำรวจจะเข้าตรวจสอบแล้วก็ตาม แอมเนสตี้ระบุอีกว่า ศูนย์สแกมเมอร์ 2 แห่งปิดตัวลงแล้ว

แอมเนสตี้เผยว่า ระหว่างเข้าช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ ตำรวจไม่ได้เข้าไปในศูนย์สแกมเมอร์ เพียงแต่พบกับตัวแทนของศูนย์สแกมเมอร์ที่นำตัวเหยื่อที่ร้องขอความช่วยเหลือมาส่งให้เจ้าหน้าที่ ขณะที่ผู้รอดชีวิตบางคนถูกเจ้านายทุบตีหลังจากพยายามติดต่อตำรวจ

แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า “ผู้รอดชีวิตจากศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ถูกหลอกลวง ค้ามนุษย์ และตกเป็นทาส พวกเขาเปรียบเสมือนกับติดอยู่ในฝันร้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเข้าร่วมในองค์กรอาชญากรรมที่ดำเนินการโดยได้รับความยินยอมอย่างชัดเจนจากรัฐบาลกัมพูชา”

ค้ามนุษย์เด็ก

ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติระบุว่า ช่วงที่โควิด-19 ระบาด กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ของโลก โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชญากรที่หัวหน้าแก๊งเป็นชาวจีนนำคาสิโนและโรงแรมที่ไม่ได้ใช้มาดัดแปลงเป็นศูนย์สแกมเมอร์ที่มีคนอยู่มากถึง 100,000 คน ศูนย์สแกมเมอร์ลักษณะเดียวกันนี้ผุดขึ้นในเมียนมาและลาวเช่นกัน

สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐฯ (USIP) ระบุว่า ขณะนี้ศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชาสร้างรายได้ต่อปีมากกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจีดีพีของกัมพูชา

Reuters รายงานว่า ไทยและกัมพูชาโต้เถียงกันถึงปัญหาการฉ้อโกงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากความตึงเครียดบริเวณชายแดนที่เพิ่มมากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีของไทยเรียกร้องให้มีการปราบปรามในกัมพูชา ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลอีกคนบอกว่ากัมพูชาเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมทางไซเบอร์

แอมเนสตี้ระบุว่า แก๊งอาชญากรล่อลวงเหยื่อการค้ามนุษย์ด้วยข้อเสนองานปลอมที่โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย จากนั้นจึงบังคับให้เหยื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงินจากผู้คนทางออนไลน์ รวมถึงผ่านการแสดงความรักปลอมๆ หรือการหลอกลวงที่เรียกว่า “เชือดหมู” ซึ่งผู้หลอกลวงจะสร้างความไว้วางใจกับเหยื่อก่อนจะขโมยเงินของเหยื่อไป

แอมเนสตี้ระบุว่า ผู้รอดชีวิต 9 คนจาก 58 คนที่สัมภาษณ์เป็นเด็ก รวมถึงเด็กชายชาวจีนวัย 16 ปีที่ถูกเตะและห้ามออกจากศูนย์สแกมเมอร์ และว่า พบเด็กชาวจีนเสียชีวิตในศูนย์สแกมเมอร์แห่งหนึ่ง

ผู้รอดชีวิตชาวไทยวัย 18 ปี บอกกับ Reuters ว่าเขาถูกค้ามนุษย์ไปยังศูนย์แห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญเมื่อปี 2023 และเมื่อเขาพยายามหนีออกมา ก็ถูกขายให้ศูนย์สแกมเมอร์อีกแห่งใกล้กับชายแดนเวียดนาม

ชายคนดังกล่าวซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ ถูกบังคับให้ใช้ซอฟต์แวร์วิดีโอ Deepfake ปลอมตัวเป็นชายสูงวัยหน้าตาดีเพื่อล่อลวงให้ผู้หญิงไทยมอบเงินให้ หลังจากผ่านไปเกือบปี เขาก็กระโดดออกจากหน้าต่าง ได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีออกมาหลังจากซ่อนตัวอยู่ในโรงพยาบาล

Photo by POOL / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์