‘อังคณา’ ชี้​ ‘สมศักดิ์’ วีโต้ป้อง ‘ทักษิณ’ ไร้ผลต่อการพิจารณาคดีในศาลฎีกาฯ

4 มิ.ย. 2568 - 07:11

  • ‘อังคณา’ ชี้​ ‘สมศักดิ์’ ไม่ควรวีโต้ป้อง ‘ทักษิณ’

  • มองไร้ผลต่อการพิจารณาคดี ‘ชั้น 14’ ในศาลฎีกาฯ

  • เชื่อ​ผลสอบ ‘แพทยสภา’ มีน้ำหนักต่อเรื่องนี้​

  • ยกเคสป่วย ‘มะเร็งระยะสุดท้าย’​ ยังไม่ได้ออกมารักษา รพ.ข้างนอก

‘อังคณา’ ชี้​ ‘สมศักดิ์’ วีโต้ป้อง ‘ทักษิณ’ ไร้ผลต่อการพิจารณาคดีในศาลฎีกาฯ

อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณีที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ชี้แจงเหตุผลการวีโต้ “มติแพทยสภา” อาจลดทอนน้ำหนักหลักฐานการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 13 มิ.ย. ในคดีชั้น 14 ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “มติของแพทยสภาไม่เกี่ยวข้องกับ ทักษิณหรือราชทัณฑ์, มติของแพทยสภานั้นมีหน้าที่กำกับดูแลแพทย์ ดังนั้น มติที่ออกมาจึงเป็นการกล่าวถึงการป่วยของ ทักษิณว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ในการเข้ารักษาแบบพิเศษที่ชั้น 14 จากผู้เชี่ยวชาญ คนที่เคยไปโรงพยาบาลของราชทัณฑ์ก็จะทราบว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีความทันสมัยและสามารถรักษาโรคซับซ้อนได้”


“ดังนั้น หากกรณีของทักษิณไม่มีความเจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการรักษาตัว เช่น ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มองว่าเรื่องนี้อาจถูกเลือกปฏิบัติต่อนักโทษหรือผู้ต้องขังรายอื่น หากย้อนกลับไปดูจะพบว่าบางคนใช้เครื่องช่วยหายใจก็มี หรือบางรายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ออกไปทำคีโมข้างนอกก็กลับเข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์”


ทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤติ เพราะการป่วยวิกฤตต้องถึงขั้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่สามารถรักษาได้ แต่ปกติแล้วเมื่อโรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษาไม่ได้ ก็จะขอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามารักษา

อังคณา กล่าวอีกว่า “การวีโต้กลับของสมศักดิ์ นั้นไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ และจริง ๆ แล้ว สมศักดิ์ไม่ควรที่จะวีโต้ เพราะหากไม่เคารพต่อมติของแพทยสภาที่ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความอาวุโส มองว่าจะเป็นบรรทัดฐานที่เมื่อมีอะไรแล้วไปฟ้องรัฐมนตรี และรัฐมนตรีวีโต้กลับ จะมีแพทยสภาไว้ทำไม และใครจะเป็นผู้กำกับจริยธรรมแพทย์ให้มีมาตรฐานเดียวกัน”


ที่จริงแล้วสังคมตั้งคำถามและข้อสงสัยมานานแล้วว่า ทักษิณป่วยจริงไหม เพราะว่าออกจากโรงพยาบาล ทักษิณก็ทำกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรได้ สิ่งเหล่านี้ควรเปิดเผย เมื่อคุณอ้างสิทธิความเป็นส่วนตัวที่จะไม่บอกว่าเป็นโรคอะไร แต่ความเป็นบุคคลสาธารณะ ทักษิณควรที่จะสละความเป็นส่วนตัวเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย

เมื่อถามย้ำว่า มติแพทยสภาที่รอยืนยันกลับในวัน 12 มิ.ย.นี้ จะไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้หรือไม่? อังคณา กล่าวว่า “ส่วนตัวมองว่าไม่มีผล เพราะศาลจะพิจารณาว่า ทักษิณป่วยหนักหรือไม่ และป่วยถึงขนาดที่จะต้องออกมารักษาหรือนอนที่ชั้น 14 ที่ไม่มีใครรู้เลยว่านอนยังไง เพราะนักโทษบางคนหากไม่มีเจ้าหน้าที่คุมตัว บางรายต้องล่ามโซ่ที่ขาติดไว้กับเตียง ส่วนนี้เราไม่ชอบและไม่อยากให้มี”


ส่วนเมื่อถามถึงการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้? อังคณา กล่าวว่า “ยังเดาใจศาลไม่ได้ แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก, ทักษิณได้จำคุกหรืออยู่ในสภาพที่เจ็บป่วย และจำเป็นต้องได้รับการดูแลพิเศษ เช่น ชั้นที่ 14 จริงหรือไม่ มองว่าศาลจะดูในลักษณะเช่นนี้ พร้อมมองว่าการตรวจสอบของแพทยสภาถูกนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานว่า ทักษิณไม่ได้มีภาวะอาการเจ็บป่วยถึงขั้นที่จะต้องเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ปกติก็สามารถรักษาได้”

“คิดว่าศาลจะชั่งน้ำหนักดูเรื่องสัดส่วน และหวังว่าศาลจะพิจารณาโดยนำกรณีอื่นมาพิจารณาเพื่อเป็นบรรทัดฐาน ว่าต่อไปเมื่อมีนักโทษท่านอื่นที่ไม่ใช่ทักษิณที่เจ็บป่วยมากและขอรักษาตัวนอกกรมราชทัณฑ์จะเป็นไปได้หรือไม่”


หากไม่มีภาวะเจ็บป่วยถึงขนาดนั้น ตรงนี้ต้องระวัง คนที่เป็นบุคคลสาธารณะ เป็นพ่อนายกฯ เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จริงหากทักษิณเปิดเผยว่าเจ็บป่วยอะไรก็คงไม่มีใครสงสัย

เมื่อถามว่า วันที่ 13 มิ.ย.นี้ การเมืองจะเปลี่ยนเลยหรือไม่? อังคณา กล่าวว่า “อาจไม่ถึงจุดหักเหที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากที่ควรเปลี่ยนมานานแล้ว เพราะปัญหาจากการบริหารประเทศของ แพทองธาร ชินวัตร เช่น ปัญหาเรื่องการตัดสินใจ และปัญหารอบด้านทั้งที่ กัมพูชา และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่แก้ไม่ได้สักอย่างเดียว ส่วนนี้นายกฯ ควรพิจารณาตัวเองด้วย”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์