อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีคณะที่ 3 และได้พา จิตรา หมีทอง ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งมาร่วมประชุมด้วย
ส่วนกรณีปรากฎภาพ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด และ ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย ร่วมรับประทานอาหารกับ สันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นการส่งสัญญาณดึงกลุ่ม สส.เพชรบูรณ์ เข้าพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น จากคำถามนี้ ทำให้อนุทิน อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ไม่รู้จะตอบอย่างไร” พร้อมกับยิ้มให้ผู้สื่อข่าว
เมื่อถามว่า ประกอบกับมีการตั้งจิตราเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีด้วย อนุทิน กล่าวว่า ส่วนตัวรู้จักจิตรามานานแล้ว เป็นสิบๆ ปีแล้ว ถือเป็นบุคลากรทางการเมืองที่มีฝีมือ มีศักยภาพ โดยอนุทิน ได้ดึงให้จิตรามายืนใกล้ๆ ระหว่างสัมภาษณ์ด้วย พร้อมบอกว่า วันนี้จิตรามาทำงานวันแรก ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่สันติก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธ อนุทินพยักหน้า ร้อง “อึ้ม” และยิ้มให้กับผู้สื่อข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่ามีการพูดคุยกันแล้ว และมีความเป็นไปได้ใช่หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า กับจิตรา รู้จักกันอยู่แล้ว และวันนี้จิตราสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจิตรา ก็ได้พยักหน้ารับ
ส่วนกรณีของสันติ มีการพูดคุยหรือทาบทามกันหรือไม่ เพราะมีภาพปรากฏชัดเจนขนาดนี้ อนุทิน กล่าวว่า “เดี๋ยวสิ” พร้อมกับส่ายหน้า หัวเราะในลําคอ และบอกว่า “ไม่รู้จะตอบยังไง” ก่อนจะยกมือไหว้ผู้สื่อข่าว ขอขึ้นไปประชุม แต่ได้หันกลับมาบอกผู้สื่อข่าวว่า ถามเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนบ้าง ไม่ใช่ประโยชน์กับการเมือง เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามซักถามเรื่องดังกล่าวต่ออีก แต่อนุทิน ยังคงปฏิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมระบุว่า ถ้าถามเรื่องนี้ ไม่ตอบ แต่หากถามเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ก็จะตอบ
ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกว่า การนํากลุ่มของนายสันติ เข้ามาเพื่อเป็นการต่อรอง และเกราะป้องกันในกรณีหากโดนปรับออกจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ อนุทิน หัวเราะ “หึๆ”
เมื่อถามยํ้าว่า ไม่ใช่การโชว์พลังดูด ส.ส.ใช่หรือไม่ อนุทิน ไม่ตอบคำถาม และเดินขึ้นตึกบัญชาการไปทันที
รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยังได้ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ร่วมกับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า นายกฯ ได้ให้จัดเตรียมเรื่องการสนับสนุนแนวหลังอย่างเต็มที่ และได้ให้นโยบายเหมือนสุภาษิต มหาดไทยเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว โดยนายกฯ ได้ให้นโยบายและวิสัยทัศน์มาแล้ว เราก็ต้องทำบ้านให้น่าอยู่ มีความอบอุ่น ให้มีความปลอดภัย ส่วนพี่น้องทหารที่เป็นรั้วก็จะปกป้องบ้านไม่ให้มีใครมารุกรานหรือทำร้าย ซึ่ง 2 คำนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติงานถือว่า รับบัญชาจากนายกฯ และเรามาทำทุกอย่างให้เรียบร้อย การดูแลชาวบ้านในพื้นที่นั้น ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องการเตรียมพร้อมหากมีสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักพิง ต้องพร้อม โรงเรียนต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลา หากสถานการณ์ไม่ดีไม่ต้องรอผู้อำนวยการโรงเรียน สามารถส่งนักเรียนกลับบ้านได้ทันที และนายกฯ ย้ำว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุและเด็กนักเรียนต้องไม่ได้รับอันตรายอย่างเด็ดขาด
ส่วนกรณีนายกฯ ถามกระทรวงมหาดไทยว่า ทำไมไม่มาของบประมาณไปทำบังเกอร์ หลุมหลบภัย อนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ได้กราบเรียนนายกฯ ไปแล้ว กระทรวงมหาดไทยตอนนี้ได้สั่งการให้ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอเร่งสำรวจหลุมหลบภัย ทั้งสภาพที่มีอยู่ และในส่วนที่ยังขาดอยู่ซึ่งมีหลายแห่งที่ขาดอยู่ ตอนนี้เรียนนายกฯ ไปแล้วว่า สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยจะมีงบเรื่องพวกนี้อยู่ ไม่ต้องของบกลาง และจะเร่งดำเนินการจัดทำหลุมหลบภัย ซึ่งต้องทำให้มีมาตรฐาน เข้าไปต้องมั่นคง ปลอดภัย แข็งแรง ทางเข้าทางออกต้องไม่มีอะไรมาบล็อก ต้องตั้งอยู่ริมถนนที่สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ที่ปลอดภัยกว่าได้ง่าย ต้องมีการวางแผนซ้อมเคลื่อนย้าย และยังเรียนนายกฯ ว่า ในหลุมหลบภัยยังเป็นพื้นทรายอยู่ หากเป็นพื้นคอนกรีตจะอมความร้อน คงจะใช้เป็นพวกแผ่นยางหรือหญ้าเทียมไปวางไว้เพื่อให้ช่วงที่มีเหตุ แต่หากช่วงไม่มีเหตุก็นำไปเก็บรักษาได้ นี่คือ สิ่งที่นายกฯ ได้ลงไปเห็นในพื้นที่และได้มีข้อสั่งการมา
ทั้งนี้ สถานการณ์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หรือยังวางใจได้หรือไม่นั้น อนุทิน กล่าวว่า ถ้าดูทางฝ่ายทหารยังมีการสื่อสารในเชิงการเจรจาพูดคุยหารือกันอยู่ ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดคอยสนับสนุนทหารทุกประเด็น เรื่องเปิด-ปิดด่านก็เช่นกัน เราก็เปิดของเราอย่างนี้ ถ้าเขาจะมาเหลื่อมเวลา คิดว่า คนที่เสียประโยชน์คือฝั่งเขา เอาเป็นประเด็นการเมืองอะไรตรงนี้ ไม่ก้าวล่วง ส่วนของเรายืนยันว่า จะเปิดแบบนี้ จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะตอนนี้เปิดวันละ 6-7 ชั่วโมงอยู่แล้ว ถ้าเปิดเหลื่อมกันจะเหลือ 6 ชั่วโมง ถามว่า ใครเสียประโยชน์มากกว่าระหว่างเขาเข้ามาขายของกับเราไม่ออกไปซื้อของเขา หรือไปทำธุรกิจที่เขา ก็แล้วแต่
ส่วนจะทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารเพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อน อนุทิน กล่าวว่า เรื่องการสื่อสารสำคัญมาก ทางพี่น้องประชาชนเราก็ใช้ในส่วนของฝ่ายปกครองไปสร้างความมั่นใจ สร้างความอบอุ่นกับประชาชน โดยรวมขวัญกำลังใจดี ผู้ที่วิตกกังวลมากหน่อยคือ ผู้สูงอายุ แต่วัยทำงานหรือชาวบ้านเขาทราบถึงสถานการณ์อยู่ รวมถึงเรามีการให้คำแนะนำและบอกว่า พื้นที่ไหนช่วงนี้ไม่ควรไป สภาพชีวิตก็ยังเป็นปกติอยู่ โดยวันที่ 13 มิ.ย. จะลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อประชุมหลังจากได้รับข้อสั่งการจากนายกฯ ที่ จ.สุรินทร์ เรื่อง 7 จังหวัดที่มีชายแดนติดกับกัมพูชา เพื่อลงรายละเอียดเป็นจุดๆ กันไปว่า จะมีแผนสั่งการหรือแผนเผชิญเหตุ แผนการซ้อมอะไรต่างๆ ซึ่งเราต้องทำให้มีความพร้อม