ระวังหลงเหลี่ยมเขมร ส่ง ‘สรัย ดึ๊ก’ เล่นบทเสี้ยม ซื้อเวลารอ ‘ฮุน มาเนต’ เจรจา UN

9 มิ.ย. 2568 - 06:33

  • จับตาท่าที ‘พ่อลูกตระกูลฮุน’ ยอมถอยเพื่อซื้อเวลารุกทั้งในและต่างประเทศ

  • การเจรจาในพื้นที่เริ่มผ่อนคลายสถานการณ์ไปได้ แต่ยังไว้ใจไม่ได้

ระวังหลงเหลี่ยมเขมร ส่ง ‘สรัย ดึ๊ก’ เล่นบทเสี้ยม ซื้อเวลารอ ‘ฮุน มาเนต’ เจรจา UN

สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย – กัมพูชา แม้จะเป็นช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ แต่หลายประเด็นไม่ได้หยุดนิ่ง กลับพัฒนาไปในทิศทางที่ต้องวิเคราะห์และจับตาอย่างใกล้ชิด  


ท่าทีแข็งกร้าวของฝ่ายไทย ที่เพิ่มมาตรการเข้มข้นขึ้นเป็นระยะๆ ตั้งแต่จำกัดเวลาผ่านเข้า – ออกจุดผ่านแดนสำคัญหลายจุด จนถึงขั้นเตรียมตัดไฟฟ้าและตัดเกตเวย์ ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารโทรคมนาคมที่เชื่อมต่อกับทั่วโลก กระทั่งเกิดการโกลาหลบริเวณจุดผ่านแดนสำคัญ โดยเฉพาะที่ด่านอรัญประเทศ


กระทั่งเย็นวันอาทิตย์ ก็ปรากฏภาพการพูดคุยกัน ระหว่าง พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พล.อ.สรัย ดึ๊ก รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ในฐานะผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3  

การเจรจาจบลงที่ฝ่ายกัมพูชา ยอมถอยกำลังทหารลงไปอยู่ที่บริเวณปี 2567 หรือ หลังแนวบริเวณศาลาตรีมุข 

 

ด้านหนึ่งแม้ต่อมา นายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร จะออกมาแถลงผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็น Account Official ของนายกรัฐมนตรีว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับกำลัง ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือ โดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน รวมถึงพูดคุยในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว 


แต่อีกด้านหนึ่ง สมเด็จฮุนเซน กลับโพสต์ข้อความระบุว่า เป็นเพียงแค่การปรับกำลังเท่านั้น และกัมพูชายังคงยืนยันที่จะให้นำเรื่องข้อพาทครั้งนี้ เข้าสู่การพิจารณาคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

 

ขณะที่ข้อมูลจากในพื้นที่อีกด้าน ก็ยืนยันเช่นกันว่า การถอยกำลังครั้งนี้ เป็นการถอยเฉพาะในส่วนพื้นที่ช่องบก บริเวณที่เกิดการปะทะ โดยฝ่ายกัมพูชายอมถอยลงไปยังที่ตั้งเดิมเมื่อปี 2567 และเป็นการถอยเฉพาะกำลังทหารที่ล้ำเข้าในพื้นที่ประเทศไทยเท่านั้น  


แต่กำลังทั้งหมด ซึ่งมีรายงานว่า ถูกส่งลงไปประจำการกว่าหนึ่งหมื่นนาย พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ ยังคงตั้งประจัญหน้าตลอดแนวชายแดนทั้ง 2 จุด คือ ฝั่งตรงข้ามช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และฝั่งตรงข้ามบริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์

 

นอกเหนือจากกำลังทหารจำนวนมาก ที่ยังคงประจำการในพื้นที่ ยังมีข้อสังเกตว่า พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหายไปไหน ทำไมไม่ปรากฏตัว หรือ โพสต์ใดใด เพื่อแสดงความเห็นต่อการเจรจาและการถอยกำลังทหารครั้งนี้

 

แหล่งข่าวทางด้านความมั่นคงรายหนึ่งให้ข้อมูล เฉลยถึงการไม่ปรากฏตัวของ พล.อ.ฮุน มาเนตว่า พล.อ.ฮุน มาเนต อยู่ระหว่างเดินทางไปยังองค์การสหประชาชาติ เพื่อหารือในการใช้ช่องทางของ UN นำปัญหาข้อพิพาทแนวชายแดนไทย – กัมพูชา รอบนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยนำข้อมูลในพื้นที่ที่แสดงให้เห็นว่า ไทยเป็นฝ่ายเอาเปรียบกัมพูชา และเป็นฝ่ายใช้กำลังทหารกับกัมพูชาก่อน 


ความเคลื่อนไหวของทั้ง “พ่อและลูกตระกูลฮุน” จึงสอดรับกัน และสวนทางกับการเจรจาที่ระบุว่า มีการถอยกำลังออกจากจุดพิพาท 

การเจรจาที่ปรากฏภาพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน จึงตอบโจทย์เพียงไม่กี่อย่าง และเป็นโจทย์ที่ยังก่อประโยชน์ให้เฉพาะฝั่งกัมพูชา และพ่วงด้วยการตอบโจทย์สงครามส่งด่วนของบางคนในฝั่งไทย 

 

ประโยชน์แรก กัมพูชาสามารถลดแรงกดดันที่เกิดขึ้นต่อมาตรการเข้มข้นของไทย ซึ่งเริ่มจำกัดการเข้า-ออกชายแดน และมาตรการเด็ดขาด จะตัดไฟฟ้า และตัดการสื่อสาร ที่แม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ขีดเส้นตายให้ถอยกำลังภายใน 24 ชั่วมง กระทั่งเกิดความไม่พอใจของประชาชนกัมพูชา ที่เดือดร้อนจากมาตรการนี้ 

 

ประโยชน์อีกด้าน กัมพูชายังได้ภาพของการยอมถอย และซื้อเวลาให้พล.อ.ฮุน มาเนต ที่กำลังเดินทางไปUN มีเวลาเพียงพอต่อการเจรจาและหาแนวร่วม ด้วยการแสดงท่าทีที่จะเข้าประชุมในวันที่ 14 มิถุนายน 

 

อีกด้าน กัมพูชายังหวังประโยชน์จากการซื้อเวลา หากเกิดเหตุการณ์ที่การเจรจาวันที่ 14 มิถุนายน ล้มเหลว กัมพูชายังมีเวลาที่จะจัดกองทัพ และวางกำลัง รวมถึงการใช้หน่วยข่าวกรองสืบหาข้อมูลกำลังทหารของฝั่งไทย เพราะที่ผ่านมา มีเพียงข้อมูลของกัมพูชาเท่านั้น ที่ปรากฏออกมาในสื่อ แต่ข้อมูลฝ่ายไทย กลับไม่มีภาพชัดว่า ณ เวลานี้ ไทยวางกำลัง และวางยุทโธปกรณ์ในพื้นที่อย่างไรบ้าง 

 

ภาพการเจรจารอบนี้ที่ปรากฏผ่านสื่อกัมพูชา ยังวางหมากสำคัญอีกด้าน เพื่อก่อให้เกิดความหวาดระแวงกันเองภายในฝ่ายไทย  


เมื่อภาพที่ปรากฏผ่านสื่อในช่วงเย็น และต่อเนื่องจนถึงกลางคืนของวันที่ 8 มิถุนายน 2568 มีภาพ พล.อ.สรัย ดึ๊ก และพล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 นั่งพูดคุยกันระหว่างรอ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กกล.สุรนารี ที่ได้รับมอบหมายจากพล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้เป็นตัวแทนกองทัพในการเจรจา 

 

รายงานข่าวที่ปรากฏผ่านสื่อระบุ พล.ต.ณัฏฐ์ ซึ่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ที่รับผิดชอบงานด้านส่งกำลังบำรุง และไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ได้รับการประสานจาก พล.อ.สรัย ดึ๊ก ให้ขึ้นไปร่วมพูดคุย เพื่อร่วมแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างกัน เนื่องจาก พล.อ.สรัยดึ๊ก และพล.ต.ณัฏฐ์ มีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว และเป็นพล.ต.ณัฏฐ์ที่มีบทบาท ในการพูดคุยขอให้มีการถอยกำลัง จนนำมาสู่การถอยกำลังของฝ่ายกัมพูชา 

 

ภาพการจับไม้ จับมือ ระหว่าง พล.อ.สรัย ดึ๊ก และพล.ต.ณัฏฐ์ โดยมี พล.ต.สมภพ ผู้ที่ได้รับมอบหมายโดยตรง ยืนอยู่ด้านข้าง 

ภาพที่ปรากฏ พล.อ.สรัย ดึ๊ก และ พล.ต.ณัฏฐ์ นั่งพูดคุยกันบริเวณศาลา ก่อน พล.ต.สมภพ จะไปถึงพร้อมข้อมูลผลการเจรจา ยังถูกเร่งเผยแพร่ผ่านสื่อ ก่อนจะถูกส่งเข้าไปยัง ศปก.ทบ. เพื่อรายงานตรงต่อผู้บัญชาการทหารบก  


ทั้งที่ขั้นตอนสำคัญ สำหรับประเด็นละเอียดอ่อนระดับนี้ หน่วยปฏิบัติที่ได้รับมอบหมาย จะต้องรายงานผ่านขั้นตอนไปยัง ศปก.ส่วนหน้าและแม่ทัพภาคที่ 2 ก่อนจะสรุปรายงานไปยัง ผบ.ทบ. เพื่อป้องกันความผิดพลาด

 

ประเด็นนี้ จึงกำลังเป็นประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตกันอย่างกว้างขวางในกองทัพบก เพราะเป็นประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกฝ่ายกัมพูชาจัดฉาก ให้มีการหวาดระแวงกันเอง


หวาดระแวงว่า ขณะที่ด้านหนึ่ง แม่ทัพภาคที่ 2 มอบหมาย ผบ.กกล.สุรนารี ให้เป็นตัวแทนเจรจา แต่ทำไมอีกด้าน จึงมีข้อมูลว่า พล.อ.สรัย ดึ๊ก กลับติดต่อตรงไปยัง รองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งไม่ได้รับผิดชอบ และไม่ได้รับการมอบหมาย  

หวาดระแวงว่า ขณะที่ ผบ.กกล.สุรนารีที่ได้รับมอบหมาย เตรียมรายงานความคืบหน้าการเจรจาไปยังแม่ทัพภาคที่ 2 กลับปรากฏว่า ผลการเจรจาและภาพการพบปะ ภาพการจับมือ ถูกส่งไปยังสื่อ และถูกเผยแพร่ผ่านสื่ออย่างรวดเร็ว

 

การแถลงข่าวของศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ที่นำโดย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยังเกิดขึ้น หลังสื่อได้รับข้อมูลผลการเจรจา ภาพการเจรจา แม้กระทั่งภาพการถมคูเลต และเผยแพร่ข่าว รวมทั้งภาพทั้งหมดไปแล้ว

ในภาวะความขัดแย้ง ที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดการปะทะรอบใหม่ ความเป็นเอกภาพในพื้นที่ถือเป็นประเด็นสำคัญ ที่หน่วยปฏิบัติทั้งหมดต้องไปในทิศทางเดียวกัน

 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของฝ่ายกัมพูชา ที่ใช้วิธีขอเจรจากับกองทัพภาคที่ 2 ขณะเดียวกันก็ประสานไปยังรองแม่ทัพ ให้ไปร่วมพูดคุยด้วย จึงต้องนำกลับมาวิเคราะห์อย่างละเอียด ก่อนจะตกเป็นเครื่องมือของกัมพูชา ที่จะทำให้หน่วยปฏิบัติในพื้นที่ขาดเอกภาพ 

 

หรือ หากข้อเท็จจริง พล.ต.ณัฏฐ์ เป็นคนกลางประสานระหว่างกองทัพภาคที่ 2 และพล.อ.สรัย ดึ๊ก จริงตามที่มีรายงานข่าว กองทัพก็ต้องแถลงและมอบหมายอย่างเป็นทางการว่า นับจากนี้ พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการให้ทำหน้าที่นี้ 

 

แต่หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ไม่ใช่ แต่เป็นพล.อ.สรัย ดึ๊ก ที่หวังผลให้เกิดการหวาดระแวงระหว่างกัน ด้วยการประสาน พล.ต.ณัฏฐ์ ให้ขึ้นไปพบ ทั้งที่ประสานตรงไปยังแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว เรื่องนี้ก็ต้องมีการสอบสวนว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมการสื่อสารในพื้นที่ ถึงเกิดความคลาดเคลื่อนได้ขนาดนี้ 

 

กระบวนการเจรจาที่มีเรื่องผลประโยชน์ของประเทศเป็นเดิมพัน การพูดคุยโดยไม่มีสถานะ และไม่มีการมอบหมายอย่างเป็นทางการ ย่อมเป็นไปไม่ได้  และไม่มีผลบังคับ ที่อาจจะนำไปสู่การบิดพลิ้วของฝ่ายกัมพูชาในอนาคต

 

ประการสำคัญ ข้อมูลที่จะแถลงต่อสื่อ ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่จะเป็นสงครามชายแดน สรุปว่า จะเลือกใช้วิธีส่งตรงให้สื่อ โดยไม่กลั่นกรอง หรือ???? 

อย่าหลงเหลี่ยมเขมร เพียงเพราะต้องการทางด่วนขึ้นสู่ตำแหน่งเลย เพราะเล่ห์ของ ‘พ่อ-ลูกตระกูลฮุน’ ยังไม่ได้จบเพียงแค่นี้ 

 

สมเด็จฮุนเซน ยังหวังที่จะใช้สถานการณ์ช่องบกเป็นกระดานหก ที่จะทำให้ตัวเองก้าวขึ้นสู่การเป็น “รัฐบุรุษ” ของเขมร เพราะหากแก้ปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชาสำเร็จ เขาก็จะเป็นผู้นำประเทศที่สามารถแก้ปัญหาชายแดนทั้ง 3 ด้าน ทั้งลาว เวียดนาม และไทย ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

 

ความเคลื่อนไหวของกัมพูชารอบนี้ จึงยังต้องวิเคราะห์และจับตาใกล้ชิดว่า พ่อ-ลูกตระกูลฮุน จะงัดเล่ห์และเหลี่ยมไหนออกมาใช้อีก  

แต่ยืนยันชัดว่า เป้าหมายสุดท้ายของ พ่อ-ลูกตระกูลฮุน คือ ต้องการใช้เวทีนานาชาติเข้ามาแก้ไขปัญหาเท่านั้น 

 

EP.นี้ขออภัยที่ยังไม่ได้ลงลึกเรื่อง Mission สมเด็จฮุนเซนว่า ทำไมหวังใช้ช่องบกเป็นกระดานหกไปสู่ตำแหน่งรัฐบุรุษ เพราะมีเรื่องการเจรจาที่ช่องบกเข้ามาแทรก EP.หน้าจะมาลงรายละเอียดแน่นอน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์