บทวิเคราะห์: เมื่อทรัมป์เลือกใช้กำลังมากกว่าการทูตจัดการอิหร่าน

22 มิ.ย. 2568 - 08:32

  • ก่อนหน้านี้ข้อขัดแย้งส่วนใหญ่ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านมักถูกทิ้งไว้ในเงามืด เพราะเชื่อว่าการทูตเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

  • ฝั่งที่สนับสนุนการโจมตีของทรัมป์อ้างว่าการใช้การทูตไม่ไม่ได้ผล เนื่องจากอิหร่านยืนหยัดว่ามีสิทธิในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม

  • นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ทรัมป์ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่อิหร่านจะกลายเป็นรัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า

บทวิเคราะห์: เมื่อทรัมป์เลือกใช้กำลังมากกว่าการทูตจัดการอิหร่าน

เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่สหรัฐฯ มีข้อขัดแย้งกับสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน แต่ความขัดแย้งส่วนใหญ่มักถูกทิ้งไว้ในเงามืด โดยผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ เชื่ออย่างไม่เต็มใจว่าการใช้การทูตเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน สหรัฐฯ นำความขัดแย้งมาสู่ที่แจ้ง เช่นเดียวกับอิสราเอลที่สนับสนุนทรัมป์ และผลที่ตามมาอาจจะยังไม่ชัดเจนในอนาคต

เคนเนธ พอลแล็ค อดีตนักวิเคราะห์ของ CIA และผู้สนับสนุนสงครามอิรักในปี 2003 ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานฝ่ายนโยบายที่สถาบันตะวันออกกลางกล่าวว่า “เราจะรู้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ต่อเมื่อเราสามารถผ่านสามถึงห้าปีข้างหน้านี้ไปได้โดยที่ระบอบการปกครองอิหร่านไม่ต้องการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งขณะนี้พวกเขามีเหตุผลอันหนักแน่นที่จะต้องการมัน”

ข่าวกรองของสหรัฐฯ ไม่ได้สรุปว่าอิหร่านกำลังสร้างระเบิดนิวเคลียร์ โดยการดำเนินการด้านนิวเคลียร์ที่ละเอียดอ่อนของเตหะรานถือเป็นเพียงเครื่องมือต่อรอง และอิหร่านอาจใช้มาตรการป้องกันเพื่อรับมือกับการโจมตี

ทริตา ปาร์ซี ผู้วิจารณ์การปฏิบัติการทางทหารอย่างเปิดเผยกล่าวว่า ทรัมป์ “ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่อิหร่านจะกลายเป็นรัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า”

ปาร์ซีเผยอีกว่า “เราควรระมัดระวัง ไม่สับสนระหว่างความสำเร็จเชิงยุทธวิธีกับความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ สงครามอิรักก็ประสบความสำเร็จในช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกเช่นกัน แต่คำประกาศของประธานาธิบดีบุชที่ว่า ‘ภารกิจสำเร็จ’ กลับอยู่ได้ไม่นาน”

- จุดอ่อนของอิหร่าน –

อย่างไรก็ดี การโจมตีของทรัมป์ที่เกิดขึ้นเพียง 1 สัปดาห์หลังจากอิสราเอลเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ เกิดขึ้นในช่วงที่อิหร่านอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามโค่นล้มชาร์ที่หนุนตะวันตกเมื่อปี 1979

นังตั้งแต่กลุ่มฮามาสซึ่งมีอิหร่านหนุนหลังโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 นอกจากอิสราเอลจะทำลายล้างฉนวนกาซาไปเกือบหมด อิสราเอลยังทำลายกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ของเลบานอน ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่เคยโจมตีอิสราเอลในฐานะตัวแทนของเตหะราน

บาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของอิหร่านก็ถูกโค่นล้มเมื่อเดือน ธ.ค.

ฝั่งที่สนับสนุนการโจมตีของทรัมป์อ้างว่าการใช้การทูตไม่ไม่ได้ผล เนื่องจากอิหร่านยืนหยัดว่ามีสิทธิในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม

เท็ด ดอยช์ อดีตสมาชิกสภาคองเกรสพรรคเดโมแครตซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าคณะกรรมการชาวยิวอเมริกันเผยว่า “ตรงกันข้ามกับสิ่งที่บางคนจะพูดในวันข้างหน้า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้รีบเร่งทำสงคราม อันที่จริงสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้การทูตแล้ว แต่รัฐบาลอิหร่านที่โหดเหี้ยมปฏิเสธที่จะทำข้อตกลง”

จอห์น ธูน สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันระดับสูง ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามของเตหะรานต่ออิสราเอลและการใช้คำพูดต่อสหรัฐฯ และกล่าวว่าอิหร่าน “ปฏิเสธทุกวิถีทางทางการทูตที่จะสร้างสันติภาพ”

- หยุดการทูตกะทันหัน –

การโจมตีของทรัมป์เกิดขึ้นเกือบ 10 ปีหลังจากอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา ลงนามในข้อตกลงที่อิหร่านจะลดการดำเนินการด้านนิวเคลียร์ ซึ่งทรัมป์พาสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงนี้เมื่อปี 2018 หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก

สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรครีพับลิกันของทรัมป์และนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ซึ่งมองอิหร่านเป็นภัยคุกคามมายาวนาน โจมตีข้อตกลงของโอบามา เนื่องจากเป็นการไฟเขียวให้อิหร่านเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมจนถึงระดับที่เกือบใช้การในผลิตอาวุธได้ และกำหนดวันสิ้นสุดของข้อกำหนดสำคัญ

แต่เมื่อราว 1 เดือนก่อน ทรัมป์ ซึ่งสถาปนาตัวเองเป็นนักสร้างสันติภาพ เผยระหว่างที่เดินทางเยือนผู้นำอาหรับว่า เขามีความหวังสำหรับข้อตกลงใหม่กับอิหร่าน และรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเตรียมการเจรจาใหม่เมื่อเนทันยาฮูโจมตีอิหร่าน

เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้ทรัมป์เปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน

เจนนิเฟอร์ คาวานาห์ ประธานฝ่ายวิเคราะห์ด้านการทหารจาก Defense Priorities ที่สนับสนุนให้อดทนอดกลั้นเผยว่า “การตัดสินใจของทรัมป์ที่จะยุติความพยายามทางการทูตของตนเอง จะทำให้การบรรลุข้อตกลงในระยะกลางและระยะยาวยากขึ้นมาก ตอนนี้อิหร่านไม่มีแรงจูงใจที่จะเชื่อคำพูดของทรัมป์ หรือเชื่อว่าการประนีประนอมจะส่งเสริมผลประโยชน์ของอิหร่าน”

ผู้นำสูงสุดของอิหร่านยังเผชิญกับการต่อต้านภายในประเทศอีกด้วย การประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2022 หลังจากการเสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัวของ มาห์ซา อามีน ซึ่งถูกคุมตัวเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎของรัฐบาลเกี่ยวกับการปกปิดผม

คารีม ซัดจาดปูร์ นักวิจัยอาวุโสแห่งมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ เขียนบนโซเชียลมีเดียว่า การโจมตีของทรัมป์อาจทำให้สาธารณรัฐอิสลามมั่นคงหรือล่มสลายเร็วขึ้นก็ได้

“การที่สหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอาจสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับอิหร่าน ตะวันออกกลาง นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก และอาจรวมถึงความสงบเรียบร้อยของโลกด้วย” ซัดจาดปูร์กล่าว “ผลกระทบดังกล่าวจะถูกวัดผลในเวลาหลายทศวรรษข้างหน้า”

Photo by CHARLY TRIBALLEAU and ATTA KENARE / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์