เข้าสู่วันที่ 6 ของมาตรการคุมเข้มชายแดนไทย-กัมพูชาทางด้านจังหวัดสระแก้ว เพื่อกดดันและตอบโต้ท่าทีกัมพูชา วันนี้การขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศกัมพูชา ยังคงเป็นไปตามปกติ ภายในห้วงเวลาเปิด - ปิดด่าน ที่สองประเทศกำหนดเวลาใหม่ ซึ่งวันนี้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า เริ่มปรับตัวได้แล้ว
สำหรับการค้าชายแดนไทยกัมพูชาทางด้านชายแดนจังหวัดสระแก้ว ในปีที่ผ่านมา มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท โดยเฉพาะที่ด่านถาวรบ้านหนองเอี่ยน-สะตึงบท มีรถยนต์บรรทุกสินค้าวิ่งข้ามชายแดนส่งสินค้าวันละประมาณ 300-400 คัน



ส่วนที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กองกำลังบูรพาได้ปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกัมพูชา จนสามารถตกลงและมีมติร่วมกัน ให้ขยายเวลาเปิดประตูด่านเฉพาะเด็กนักเรียน

โดยจะอนุญาตเฉพาะในช่วงเช้าเวลา 6.00-08.00 น. และในช่วงเย็นเวลา 17.00 - 18.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน สามารถเดินทางข้ามชายแดนไปเรียนหนังสือทั้งในฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชาได้ทันเวลาตามปกติ เนื่องจากมีเด็กนักเรียนจำนวนมากที่พักอาศัยอยู่ในตลาดโรงเกลือและเมืองปอยเปตของกัมพูชา ที่ขอข้ามแดนมาเรียนหนังสือที่ฝั่งไทย


สำหรับการเปิดปิดประตูด่านนี้ จะดำเนินการทั้ง 3 จุดผ่านแดนถาวร และ 2 จุดผ่อนปรน ตลอดชายแดน 165 กม. ซึ่งเป็นนโยบายของกองกำลังบูรพาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศกัมพูชา ที่ได้มีข้อตกลงร่วมกัน โดยจะใช้มาตรการนี้ไปก่อนในช่วงแรก จนกว่าจะปรับเปลี่ยน ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์

ส่วนมาตรการหลังจากเมื่อวานที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำยึดสันติวิธี พร้อมมอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนใน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ดังนี้
รัฐบาลเร่งซ่อมแซมและจัดสร้างเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนร่วมบริจาควัสดุจำเป็น เช่น ท่อกลม กระสอบทราย และปูน โดยสามารถนำส่งได้ที่ที่ว่าการอำเภอทั้ง 4 แห่ง หรือในหมู่บ้านเป้าหมาย
กำหนดแผนอพยพโดยให้จังหวัดสุรินทร์ได้เตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราว 65 แห่ง ในโรงเรียน วัด เทศบาล และ อบต. สำหรับรองรับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งมีจำนวนรวม 746 ราย ใน 4 อำเภอ
เตรียมปรับโรงพยาบาลพนมดงรัก และโรงพยาบาลกาบเชิง เป็นโรงพยาบาลสนาม หากเกิดเหตุฉุกเฉิน
งบประมาณ ให้สามารถใช้งบ อปท. และเงินทดรองราชการช่วยเหลือได้ทันที แบ่งเป็นงบเชิงป้องกัน 10 ล้านบาท และกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน 20 ล้านบาท รวม 30 ล้านบาท เพื่อใช้ในด้านอาหาร วัสดุอุปกรณ์ เจ้าหน้าที่ และค่าดำเนินการอื่นๆ