พลเอก เตีย เซยฮา รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาชี้แจงเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ว่า “กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือเรือรบ แต่มีความสามารถในการป้องกันประเทศ เช่น ปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนต่อต้านรถถัง และอาวุธป้องกันชายฝั่ง”
“กัมพูชาได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการยกระดับขีดความสามารถทางทหารเพื่อใช้ในการป้องกันประเทศเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อรุกรานประเทศอื่น” และย้ำว่า “กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ที่สามารถบินไปถึงกรุงเทพฯ ได้”
“ประเทศไทยโพสต์ภาพขีปนาวุธ เครื่องบินขับไล่ ปืนใหญ่ เรือรบ และอาวุธสำหรับภาคพื้นดิน ทางทะเล และทางอากาศ แล้วกัมพูชาล่ะมีอะไร? ผมขอชี้แจงว่า กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือเรือรบ เพราะกัมพูชามุ่งเน้นแค่ความสามารถในการป้องกัน เรามีปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนต่อต้านรถถัง และปืนป้องกันชายฝั่ง” เตีย เซยฮา กล่าว
คำกล่าวของ เตีย เซยฮา เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้รายงานว่า “ประเทศไทยได้ดำเนินกิจกรรมทางทหารต่างๆ เช่น การส่งโดรนลาดตระเวน การขุดสนามเพลาะ การเคลื่อนย้ายอาวุธและอุปกรณ์สนับสนุน การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มกำลังพลตามแนวชายแดนในจังหวัดพระวิหารและอุดรมีชัย”
“กิจกรรมทางทหารเหล่านี้เป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงของทั้งสองประเทศ” กระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุ
เตีย เซยฮา เน้นย้ำว่า “กัมพูชาไม่ต้องการทำสงครามกับประเทศใด และได้ยื่นข้อพิพาทชายแดนกับไทยต่อศาลโลก (ICJ) เพื่อหาทางแก้ไขอย่างสันติ...คำตัดสินของ ICJ อาจไม่ได้รับประกันว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้ดินแดนเพิ่มขึ้น เนื่องจากขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและการพิจารณาของศาล แต่ผลลัพธ์จาก ICJ จะช่วยสร้างสันติภาพและความชัดเจนเกี่ยวกับแนวเขตชายแดนระหว่างสองประเทศ”
“การแก้ไขปัญหาผ่านบันทึกความเข้าใจปี 2000 (MoU 2000) เป็นไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากทั้งไทยและกัมพูชาไม่ได้ทำการสำรวจแนวชายแดนร่วมกันตั้งแต่ปี 2012 หรือ 2013 เป็นต้นมา สาเหตุหลักมาจากการใช้แผนที่ที่แตกต่างกัน”
“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การเจรจาทวิภาคีผ่านคณะกรรมการร่วมเขตแดน (JBC) ชะงักงัน ไทยได้ละเมิด MoU 2000 อย่างน้อย 695 ครั้งในเบื้องต้น...ผมพูดว่าเป็นตัวเลขเบื้องต้น เพราะอาจมีมากกว่านี้ เช่น การก่อสร้างถนน และการลาดตระเวนโดยไม่แจ้งฝ่ายกัมพูชา” เตีย เซยฮา กล่าว
(Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP)