กัมพูชาโวกองทัพมีศักยภาพป้องกันประเทศแม้ไม่มีเครื่องบิน-เรือรบเหมือนไทย

21 มิ.ย. 2568 - 02:14

  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ชี้แจงว่า “กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือเรือรบ แต่มีความสามารถในการป้องกันประเทศ เช่น ปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนต่อต้านรถถัง และอาวุธป้องกันชายฝั่ง”

  • คำกล่าวของ เตีย เซยฮา เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย

  • กระทรวงกลาโหมกัมพูชารายงานว่า “ประเทศไทยได้ดำเนินกิจกรรมทางทหารต่างๆ เช่น การส่งโดรนลาดตระเวน การขุดสนามเพลาะ เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้เป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงของทั้งสองประเทศ”

กัมพูชาโวกองทัพมีศักยภาพป้องกันประเทศแม้ไม่มีเครื่องบิน-เรือรบเหมือนไทย

พลเอก เตีย เซยฮา รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาชี้แจงเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ว่า “กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือเรือรบ แต่มีความสามารถในการป้องกันประเทศ เช่น ปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนต่อต้านรถถัง และอาวุธป้องกันชายฝั่ง” 

“กัมพูชาได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการยกระดับขีดความสามารถทางทหารเพื่อใช้ในการป้องกันประเทศเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อรุกรานประเทศอื่น” และย้ำว่า “กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ที่สามารถบินไปถึงกรุงเทพฯ ได้” 

“ประเทศไทยโพสต์ภาพขีปนาวุธ เครื่องบินขับไล่ ปืนใหญ่ เรือรบ และอาวุธสำหรับภาคพื้นดิน ทางทะเล และทางอากาศ แล้วกัมพูชาล่ะมีอะไร? ผมขอชี้แจงว่า กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือเรือรบ เพราะกัมพูชามุ่งเน้นแค่ความสามารถในการป้องกัน เรามีปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนต่อต้านรถถัง และปืนป้องกันชายฝั่งเตีย เซยฮา กล่าว 

คำกล่าวของ เตีย เซยฮา เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้รายงานว่า “ประเทศไทยได้ดำเนินกิจกรรมทางทหารต่างๆ เช่น การส่งโดรนลาดตระเวน การขุดสนามเพลาะ การเคลื่อนย้ายอาวุธและอุปกรณ์สนับสนุน การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มกำลังพลตามแนวชายแดนในจังหวัดพระวิหารและอุดรมีชัย” 

“กิจกรรมทางทหารเหล่านี้เป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงของทั้งสองประเทศ” กระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุ

เตีย เซยฮา เน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่ต้องการทำสงครามกับประเทศใด และได้ยื่นข้อพิพาทชายแดนกับไทยต่อศาลโลก (ICJ) เพื่อหาทางแก้ไขอย่างสันติ...คำตัดสินของ ICJ อาจไม่ได้รับประกันว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้ดินแดนเพิ่มขึ้น เนื่องจากขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและการพิจารณาของศาล แต่ผลลัพธ์จาก ICJ จะช่วยสร้างสันติภาพและความชัดเจนเกี่ยวกับแนวเขตชายแดนระหว่างสองประเทศ” 

“การแก้ไขปัญหาผ่านบันทึกความเข้าใจปี 2000 (MoU 2000) เป็นไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากทั้งไทยและกัมพูชาไม่ได้ทำการสำรวจแนวชายแดนร่วมกันตั้งแต่ปี 2012 หรือ 2013 เป็นต้นมา สาเหตุหลักมาจากการใช้แผนที่ที่แตกต่างกัน” 

“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การเจรจาทวิภาคีผ่านคณะกรรมการร่วมเขตแดน (JBC) ชะงักงัน ไทยได้ละเมิด MoU 2000 อย่างน้อย 695 ครั้งในเบื้องต้น...ผมพูดว่าเป็นตัวเลขเบื้องต้น เพราะอาจมีมากกว่านี้ เช่น การก่อสร้างถนน และการลาดตระเวนโดยไม่แจ้งฝ่ายกัมพูชา” เตีย เซยฮา กล่าว 

(Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์