รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์กรณีพิพาทชายแดนกับประเทศไทยบริเวณช่องบกดังนี้
“รัฐบาลกัมพูชา (RGC) ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ยึดมั่นในสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีพรมแดนร่วมกันที่สร้างขึ้นในช่วงที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
นับตั้งแต่ได้รับเอกราช กัมพูชายังคงมั่นคงในพันธกรณีที่จะเปลี่ยนแปลงพรมแดนร่วมกันเหล่านี้ให้กลายเป็นเขตแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา ยกเว้นในช่วงระบอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง
แม้ว่าการเดินทางจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่กัมพูชาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างสันติ แม้ว่าจะเผชิญกับความตึงเครียดและการสูญเสียชีวิตอันน่าเสียใจของทหารผู้กล้าหาญที่ยืนหยัดปกป้องอำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน
ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติสามารถเห็นได้จากการดำเนินกิจการที่ผ่านมา รวมทั้งการส่งข้อพิพาทไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งได้ตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีในปี 2505 และอีกครั้งในปี 2556 ในข้อพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างกัมพูชากับไทย
การดำเนินคดีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันลึกซึ้งของเราต่อกฎหมายระหว่างประเทศและการแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติ
แต่น่าเสียดายที่ในช่วงเช้าของวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 05.30 น. ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน เมื่อกองทัพไทยเปิดฉากยิงใส่ตำแหน่งกองทัพกัมพูชาที่หมู่บ้านเตโชมรกต ชุมชนมรกต อำเภอจมซาน จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นฐานทัพทหารกัมพูชา
การปะทะกันครั้งนี้ให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต
กัมพูชาได้ยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการใช้กำลังโดยไม่ได้รับการยั่วยุ ซึ่งถือเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และหลักการแห่งความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของกัมพูชา ตามที่บรรจุอยู่ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ระหว่างทั้งสองประเทศ
เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่ากังวลหลายประการที่เน้นย้ำถึงข้อจำกัดของกลไกการแก้ไขข้อพิพาทในปัจจุบันในการแก้ไขข้อขัดแย้งระยะยาวตามแนวชายแดนร่วมของเรา
ด้วยเหตุนี้ และเพื่อผลประโยชน์ของการหาทางแก้ไขปัญหาที่ยุติธรรม เป็นกลาง และยั่งยืน ในวันที่ 2 มิถุนายน 2568 กัมพูชาจึงตัดสินใจส่งข้อพิพาทในพื้นที่อ่อนไหว 4 แห่ง ได้แก่ สามเหลี่ยมมรกต ปราสามตาเมือนธม ปราสาทเมือนธม ปราสามตาเมือนโต๊ด และปราสามตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรุงเฮก
พื้นที่ทั้งสี่นี้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขและละเอียดอ่อนมาเป็นเวลานาน โดยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นได้หากไม่ได้รับการแก้ไข
การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นเอกฉันท์จากการประชุมใหญ่ร่วมกันครั้งแรกของสมัชชาแห่งชาติและวุฒิสภาในวันเดียวกัน
ในระหว่างที่ดำเนินการหาข้อยุติทางกฎหมายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กัมพูชายังคงยึดมั่นในการเจรจาและการทูต กัมพูชาจะยังคงมีส่วนร่วมผ่านกรอบทวิภาคีที่มีอยู่ และจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (UBC) ครั้งต่อไปในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ที่กรุงพนมเปญ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว พื้นที่ทั้งสี่ที่กล่าวถึงข้างต้นจะไม่รวมอยู่ในวาระการประชุม JBC ครั้งต่อไป
กัมพูชาหวังว่าประเทศไทยจะให้ความร่วมมือในการส่งคดีนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยยึดมั่นในความยุติธรรม การสร้างความไว้วางใจ มิตรภาพระยะยาว และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับความร่วมมือ กัมพูชาก็พร้อมที่จะดำเนินการฝ่ายเดียว
รัฐบาลขอเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ด้วยความสงบและอดทน และไม่ทำให้ปัญหากลายเป็นเรื่องของเชื้อชาติหรือชาตินิยม
เราเน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความสัมพันธ์อันเป็นปกติกับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้า การท่องเที่ยว และความร่วมมือในวงกว้าง เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประชาชนของเรา”
Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP