ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ จากสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ลุกลามจากมิติความมั่นคงสู่เศรษฐกิจแรงงานโดยตรง เมื่อเกิดปรากฏการณ์ “บอยคอตแรงงานกัมพูชา” ซึ่งขยายวงกว้างในหมู่นายจ้างไทย ทั้งในร้านอาหาร โรงงานขนาดกลาง ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ แรงงานกัมพูชาจำนวนมาก ‘ถูกเลิกจ้าง’ หรือไม่รับเข้าทำงานอย่างเงียบๆ แม้จะมีเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย ส่งผลให้แรงงานจำนวนไม่น้อยเริ่มทยอยเดินทางกลับประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของอนาคตในประเทศไทย
วิกฤติซ้อนวิกฤติ “แรงงานขาดแคลน แต่ถูกเลิกจ้าง”
ปัจจุบัน ไทยมีแรงงานข้ามชาติจากกัมพูชาจดทะเบียนถูกต้องกว่า 400,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป สิ่งทอ และก่อสร้าง แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานจากหลายจังหวัดว่า นายจ้างไทยทยอยเลิกจ้างแรงงานกัมพูชา ด้วยเหตุผลทั้งด้านความเสี่ยงทางความมั่นคงและแรงกดดันทางสังคม
“ร้านอาหารบางแห่งในกรุงเทพฯ สั่งยุติสัญญาจ้างพนักงานเสิร์ฟสัญชาติกัมพูชาทั้งชุด โดยไม่มีเหตุผลด้านผลงาน แต่เป็นเพราะกลัวกระแสสังคมและต้องการลด ‘ความเสี่ยง’ ตามกระแสชายแดนร้อน” แหล่งข่าววงการร้านอาหาร ระบุ
ขณะเดียวกัน โรงงานบางแห่งที่เคยรับแรงงาน MOU จากกัมพูชาก็เริ่มหันไปพึ่งแรงงานพม่า หรือเร่งขึ้นระบบอัตโนมัติ (automation) แทน
ปรากฏการณ์ ‘บอยคอตเขมร’ ขยายวง
ขณะนี้จะพบว่า ผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดและภาคบริการ หลีกเลี่ยงจ้างแรงงานกัมพูชา แม้จะขาดคนทำงาน โดย กลุ่มผู้รับเหมาช่วง (subcontractors) ที่เคยใช้แรงงานเขมร ลดการจ้างเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ และทางด้าน โรงงานขนาดกลางในภาคตะวันออกและตะวันตก เริ่มลดสัดส่วนแรงงานกัมพูชา แม้ยอมแลกกับการผลิตช้าลง
อุตฯเร่งวางแผนตั้งรับ ชี้แม้บอยคอต แต่จะอยู่ไม่ได้ถ้า ‘ขาดแรงงาน’
แม้ปรากฏการณ์บอยคอตจะเกิดขึ้นจริง แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะกลุ่มส่งออกกลับส่งสัญญาณว่า ไม่สามารถลดแรงงานกัมพูชาได้ทั้งหมด เพราะถือเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของกำลังผลิต” โดย สมเกียรติ ปัญญาธิกรณ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เผย แรงงานกัมพูชาเป็นกำลังหลักในหลายโรงงาน หากเลิกจ้างหมด ประเทศไทยจะไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามออเดอร์ระหว่างประเทศ
ภาคเอกชนจึงเริ่มเร่งปรับตัว
- วางแผนหาตลาดแรงงานใหม่ (เช่น ลาว เมียนมา) แทน
- เสนอมาตรการ ‘นิรโทษกรรม’ สำหรับแรงงานกัมพูชาที่อยู่ในระบบเถื่อน เพื่อรักษากำลังผลิต
- จับมือภาครัฐเสนอให้แยกมิติเศรษฐกิจแรงงานออกจากประเด็นความมั่นคงโดยสิ้นเชิง
วิกฤติแรงงาน บททดสอบนโยบายแรงงานไทย
สถานการณ์ชายแดนที่ร้อนระอุกำลังส่งผลสะเทือนลึกไปยัง “หัวใจของเศรษฐกิจไทย” ซึ่งก็คือแรงงานข้ามชาติ “การบอยคอตแรงงานกัมพูชา” ที่ระบาดโดยไม่มีท่าทีชัดเจนจากรัฐ อาจนำไปสู่ความเสียหายซ้ำซ้อนทั้งต่อตลาดแรงงาน ระบบผลิต และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเขมรหรือไทย แต่คือเรื่องของ ‘ใครจะทำงาน’ ถ้าเราขับคนทำงานออกไป แล้วใครจะผลิตอาหาร ใครจะสร้างตึก?” นักเศรษฐศาสตร์แรงงานอิสระ กล่าว
ทั้งนี้ แม้คนไทยจำนวนมากจะรู้ดีว่าแรงงานกัมพูชาคือแรงสำคัญของเศรษฐกิจ แต่ละปี ไทยต้องจ่ายค่าจ้างแรงงานกัมพูชาที่จดทะเบียนถูกต้องและอยู่ในระบบราว 35,000 - 45,000 ล้านบาท (คำนวณจากแรงงานราว 400,000 คน ค่าแรงเฉลี่ยเดือนละ 7,000–9,000 บาทต่อคน รวมสวัสดิการพื้นฐาน)
เม็ดเงินเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนการพึ่งพิงในเชิงแรงงาน แต่ยังเป็น รายได้หลักของครอบครัวกัมพูชาจำนวนมาก ผ่านระบบส่งเงินกลับประเทศ (remittance) ซึ่งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นในฝั่งกัมพูชาโดยตรง
แต่เมื่อความขัดแย้งชายแดนปะทุ ความรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ไว้ใจ ก็เริ่มก่อตัว โดยหลายคนอาจไม่ได้เกลียดแรงงานเขมร แค่รู้สึกว่า ‘ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะอยู่ใกล้กัน’ !!
คนไทยเลือกห่าง...กัมพูชาเลือกกลับ
และความรู้สึกที่ค้างอยู่ตรงกลาง อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะคลี่คลาย