โรงเรือนปลูกกัญชาของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโสกจาน อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ที่เคยเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยต้นกัญชานับร้อยนับพันต้น ปัจจุบันถูกปล่อยทิ้งร้างมานานกว่า 7 เดือน หลังมีความพยามจากฝ่ายการเมืองดึงกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด กลุ่มวิสาหกิจชุมชนได้แต่รอความหวังว่ารัฐบาลอนุญาตให้วิสาหกิจกัญชาเดินไปในแนวทางไหน



บัวพัตร์ พิเชฐพงศ์วิมุติ รองประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านโสกจาน อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า วิสาหกิจชุมบ้านโสกจาน เป็นวิสาหกิจชุมชนแห่งแรกของ จ.ขอนแก่น ที่ปลูกกัญชาทางการแพทย์ โดยส่งช่อดอกให้กรมการแพทย์ ส่วนรากและใบ นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งน้ำปลาร้ากัญชา ยาสระผมกัญชา สบู่กัญชา และยาหม่องกัญชา สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มได้เป็นอย่างดี เฉลี่ยวันละ 2-3 หมื่นบาท ทำให้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีรายได้ แต่ช่วงหลังพรรคการเมืองสองขั้วมีปัญหาความคิดเห็นไม่ตรงกัน ทางกลุ่มจึงหยุดปลูกกัญชาไปก่อน ส่วนผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีอยู่ในสต๊อก ก็พยามระบายออกไปให้หมด
“ยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากนโยบายกัญชาที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากเดิมที่มีรายได้จากการแปรรูปกัญชา ปัจจุบันรายได้ส่วนนั้นหายไปหมด แรงงานก็หายไป เพราะไม่มีเงินจ้าง ทำให้กระทบเป็นลูกโซ่ เมื่อก่อนได้เงินจากผลิตภัณฑ์กัญชาเดือนละ 3 หมื่นกว่าบาท ตอนนี้วิสาหกิจชุมชนไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวจะมีความผิด ทางกลุ่มได้หยุดผลิตกัญชามานานกว่า 7 เดือนแล้ว ส่วนช่อดอกที่ดอกก่อนเคยส่งให้กรมการแพทย์ปัจจุบันไม่ได้รับซื้อ”
บัวพัตร์ กล่าวต่อว่า “ในใจลึกๆ ก็อยากจะสานต่อ เพราะเห็นประโยชน์จากกัญชา อีกทั้งทำให้เกษตรกรมีรายได้ ตอนนี้ก็รอว่ารัฐบาลจะอนุญาตให้วิสาหกิจชุมชนทำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ลึกๆ ในใจทางกลุ่มยังรอความหวังว่าจะได้กลับมาทำกัญชาอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ได้ทำจริงๆ ก็คงปรับเปลี่ยนโรงเรือนแห่งนี้ปลูกพืชอย่างอื่นแทน ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ และปรึกษากับทางสมาชิกในกลุ่มอีกครั้ง”

“ถ้าจะโจมตีกัญชา ทำไมรัฐบาลไม่ปราบยาบ้า ซึ่งมีมากกว่ากัญชาด้วยซ้ำ สาเหตุที่วัยรุ่นติดยาไม่เกี่ยวกับกัญชาเลย ไม่เคยเห็นใครเมากัญชาฆ่าคนตาย มีแต่คนเสพยาบ้าที่ฆ่าคนตาย ทำไมรัฐบาลไม่มองเห็นปัญหาตรงนี้ ฝากถึงรัฐบาลให้คิดดีๆ ก่อนจะนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด อยากให้จัดการเรื่องยาบ้าก่อนค่อยมาจัดการกัญชา หรือจะทำให้เป็นพืชควบคุมก็ได้ ไม่ต้องเสรีก็ได้”
“กัญชารักษาคนได้ ยาบ้ารักษาคนได้ไหม อยากให้ทางชุมชนได้แปรรูป เพราะเห็นประโยชน์มากกว่าโทษ โดยเฉพาะการรักษาโรค มีลูกค้าหลายคนหายจากโรคเพราะใช้กัญชา และทำให้อาการดีขึ้นมาหลายคนแล้ว” บัวพัตร์ กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน อุบล สีหา ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอบ้านไผ่ (สกร.บ้านไผ่) หนึ่งในผู้ป่วยที่ใช้กัญชารักษาโรค กล่าวว่า ตนเองเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘โรคลูปัส’ หรือ ‘โรคพุ่มพวง’ เริ่มรักษาโดยใช้กัญชามาชงกับน้ำร้อน ดื่มเป็นชาทุกวันตอนเช้า ทดลองมาเกือบ 1 ปี ปรากฏว่าได้ผลดี จากเดิมที่ต้องรับประทานยาครั้งละ 20 เม็ดต่อวัน ปัจจุบันแพทย์ลดยาเหลือแค่ 1 เม็ดต่อวันเท่านั้น แม้แต่แพทย์ยังแปลกใจว่าไปทำอะไรมา อาการดีขึ้นผิดหูผิดตา จึงเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากกัญชาที่ชงดื่มทุกเช้า
“โรคที่เราป่วยเป็นโรคที่คนส่วนใหญ่ไม่เป็น และหาสาเหตุไม่ได้ เราจึงพยายามหาแนวทางในการรักษาตัวเอง เคยทำทุกอย่างทั้งฝังเข็ม ปรับสมดุลร่างกาย กระทั่ง 3-4 ปีก่อนมารู้จักว่ากัญชาสามารถรักษาโรคได้ ซึ่งจุดเริ่มต้นคือคุณย่าที่เป็นโรคเบาหวาน ก็รับประทานกัญชาผสมน้ำร้อนชงดื่ม พอไปหาตรวจที่โรงพยาบาลปรากฏว่าระดับน้ำตาลลด ความดันโลหิตลดลงตามไปด้วย ตนเองจึงทดลองก็ปรากฏว่าได้ผลเช่นกัน จึงทานมาต่อเนื่อง”
“แต่ช่วงหลังวิสาหกิจชุมชนที่ปลูกกัญชา ชะลอการปลูกจึงไม่ได้รับประทาน แต่อาการก็ยังปกติ เพราะก่อนหน้านั้นแม้จะรับประทานชาชงจากกัญชา แต่ก็รับประทานยาแพทย์ควบคู่ไปด้วย ทำให้อาการดีขึ้น จึงเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่อาการดีขึ้นมาจากกัญชาแน่นอน เพราะทดลองและสังเกตอาการด้วยตนเอง”


ผอ.ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอบ้านไผ่ มองว่า การที่รัฐบาลดึงกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดและใช้ทางการแพทย์เท่านั้น น่าจะเป็นผลดีกับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องใช้กัญชาในการรักษารักษาโรค หากให้แพทย์รับรองว่าโรคนี้สามารถใช้กัญชาได้ ก็สร้างความมั่นใจในการักษาโรค โดยที่ไม่ต้องให้ผู้ป่วยไปหามารับประทานเองตามความเชื่อ
ขณะที่ พชระ ไทยสา เจ้าของร้านกัญชา Weed Station จ.ขอนแก่น กล่าวว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลหากจะมีการควบคุมการจำหน่ายกัญชา มองว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เนื่องจากปัจจุบันมีร้านกัญชาเปิดโดยผิดกฎหมายเกิดขึ้นจำนวนมาก ไม่มีการควบคุม ทำให้กัญชาราคาตกต่ำ จากเมื่อก่อนกิโลกรัมละ 500- 700 บาท ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 100 บาท เนื่องจากมีฟาร์มเถื่อนเข้ามาจำหน่ายจำนวนมาก หาง่าย ทำให้ล้นตลาด ถ้ามีการควบคุมและทำให้ถูกกฎหมาย เชื่อว่าราคากัญชาจะดีดขึ้นเหมือนเดิมแน่นอน จึงอยากให้รัฐบาลควบคุมในส่วนนี้

“ส่วนการนำนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ถ้ามองในมุมของกลุ่มคนสูบกัญชาเพื่อสันทนาการ ก็จะได้รับกระทบโดยตรง ส่วนการใช้กัญชาทางแพทย์หรือเพื่อรักษาโรค ก็ไม่น่าจะมีผลอะไร ส่วนตัวเตรียมรับเรื่องนี้มาสักระยะแล้ว เพราะได้ยินข่าวว่าจะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดนานแล้ว แต่ยังไม่มีการปฏิบัติจริงจัง และรอดูแนวทางของรัฐบาลว่าจะปรับมาในแนวทางไหนบ้าง”
“ซึ่งแนวทางที่ร้านเตรียมไว้คือ อาจจะต้องมีแพทย์ประจำร้าน เพื่อคอยแนะนำการซื้อขาย และศึกษากฎหมายอย่างละเอียดในทุกมิติ เพื่อไม่ให้สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ น่าจะกระทบกับร้านไม่มากก็น้อย แต่ก็พร้อมปรับตัว แต่คงไม่ถึงขั้นต้องปิดกิจการ เพราะทุกฝ่ายต้องปรับตัว เน้นความถูกต้อง เชื่อว่าจะมีแนวทางแก้ไขเสมอ”


พชระ กล่าวต่อว่า ส่วนการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบจากนโยบายกัญชา มองว่ารัฐบาลควรมีการเยียวยา หากมีการยกเลิกกระทันหัน ทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะฟาร์มกัญชาที่จะได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะเป็นต้นทางการผลิต
“ถ้าจะนำกัญชาออกจากยาเสพติดก็อยากฝากถึงรัฐบาลให้มีความชัดเจนว่าจะควบคุมอย่างไร ควบคุมแบบไหน ให้แจกแจงรายละเอียดมาเป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้กอบการ ร้านค้า จะได้มีแนวทางปรับตัว เช่น กัญชาเพื่อสันทนาการควรใช้แบบไหน สถานที่ใด ยกตัวอย่าง เช่น ร้านเหล้า เวลาไปร้านเหล้ายังสามารถซื้อเหล้าดื่มในร้าน แต่ทำไมกัญชาถึงสูบในร้านไม่ได้ อยากให้มีความชัดเจน เพราะตนเองก็ทำธุรกิจเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ที่สำคัญรัฐบาลก็ได้ภาษีจากร้านกัญชาไม่น้อย อยากให้คำนึงถึงผู้ประกอบการด้วย”
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2568 ใช้ควบคุม ‘ช่อดอกกัญชา’ เน้นทางการแพทย์ ผู้ประกอบการต้องเป็นไปตามเงื่อนไข มีใบอนุญาต และสั่งจ่ายให้เฉพาะผู้มีใบรับรองแพทย์เท่านั้น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา
โดยมีเนื้อหาสำคัญคือ ผู้ใดประสงค์จะศึกษาวิจัย ส่งออก จำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม เพื่อการค้า จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตและปฏิบัติตามเงื่อนไข ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนถึงประชาชนต้องไปศึกษารายละเอียด เพราะมิเช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย

