ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระบุุถึงสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาในขณะนี้ว่า บรรยากาศที่สังคมไทยกำลังให้ความสนใจกับกรณีข้อพิพาทบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เสมือนว่าไม่ปฏิเสธ กระทั่งสนับสนุน หากประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะสงคราม
จึงอยากเสนอให้ทุกคนคิดและใคร่ครวญถึงผลกระทบและผลพวงจากสงครามให้ถี่ถ้วนและรอบคอบ การเรียกร้องสงครามไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์ ความรู้สึก เพราะผลเสียของสงครามนั้นใหญ่หลวงและอาจยาวนานแม้สงครามจะยุติไปแล้ว คำถามที่ต้องร่วมกันถกเถียงและตอบให้ได้ก่อนตัดสินใจก่อสงครามคือเราพร้อมที่จะรับผลเสียเหล่านั้นหรือไม่
ทั้งนี้ ดร.ชญานิษฐ์ ยืนยัน ไม่ได้ปฏิเสธว่าอำนาจอธิปไตยไม่สำคัญ แต่ชีวิตและความสูญเสียของคนไทยทั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น รวมถึงกำลังทหารที่เป็นคนเล็กคนน้อยก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นอยากขอย้ำในหลักการว่า คนที่พูดและชี้ชวนให้พิจารณาถึงผลเสียของการทำสงครามหรือไม่เห็นด้วยกับสงครามนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นจะไม่รักชาติ และต้องไม่ผลักให้เขากลายเป็นคนไม่รักชาติด้วย
ความรักชาติไม่ควรถูกจำกัดเป็นเพียงเรื่องของอาณาเขตเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเพื่อนร่วมชาติที่เป็นทั้งพลทหารและประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน ที่ย่อมจะได้รับผลกระทบมากกว่าใครหากเกิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านขึ้น
ดร.ชญานิษฐ์ ยังระบุว่า นักวิชาการในสาขาวิชาสันติศึกษาท่านหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกตเอาว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการกล่าวว่า “จะใช้สงครามจะเป็นทางเลือกสุดท้าย” มักพบว่าในทางปฏิบัตินั้น สงครามมักไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายเลย กล่าวคือผู้กำหนดนโยบายและสังคมมักพิจารณาและให้โอกาสกับการใช้แนวทางที่ไม่ใช่ความรุนแรงเพียงแค่ผิวเผินหรือเพียงช่วงเวลาอันสั้นๆ จากนั้นก็ข้ามขั้นไปสู่การใช้ความรุนแรงทันที ในข้อเขียนของ ศ. เกล็น เพจ ผู้ตั้งคำถามและใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ของสังคมที่ไร้การฆ่าฟันกันได้ระบุถึง 3 เงื่อนไขที่ต้องดำเนินการ หากมีเจตจำนงต้องการให้สงครามเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ
ประการแรก เราต้องรู้และสามารถระบุได้ในทุกๆ ทางเลือกที่ไม่ใช่ความรุนแรง ซึ่งอาจมีเป็นร้อยเป็นพันแนวทาง ประการที่สอง เราได้ต้องลองลงมือทำวิธีการที่ไม่ใช่ความรุนแรงเหล่านั้นทั้งหมด และประการที่สาม เราทดลองแล้วค้นพบว่าทางเลือกที่ไม่ใช่ความรุนแรงทั้งหมดนั้นล้มเหลว ซึ่ง ศ. เกล็น เพจ ได้ท้าทายเอาไว้ว่าหากเราจริงจังว่าสงครามจะต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย เราก็น่าจะสามารถระดมความเห็นต่อทางเลือกที่ไม่ใช่ความรุนแรงได้ไม่รู้จบ เพราะมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์มากมาย
ทั้งนี้ รัฐบาลคงต้องเป็นหัวหอกสำคัญในการสำรวจทุกความเป็นไปได้ที่จะไม่นำไปสู่การใช้ความรุนแรง และทำให้สังคมมองเห็นถึงทางเลือกที่มากไปกว่าแค่การสู้รบหรือสงคราม ขณะที่สื่อมวลชนและสังคมควรต้องชี้ชวนกันคิดใคร่ครวญและถกเถียงกันอย่างจริงจังว่าหากเลือกที่จะก่อสงคราม แล้วผลที่ตามมาคืออะไรบ้าง
โดยเอาข้อมูลและข้อเท็จจริงมาตีแผ่ให้เห็นว่าจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเท่าใด ความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคมจะเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งที่เป็นทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว เพราะที่สุดแล้วเราจะไม่รู้เลยว่าสงครามจะอยู่กับเรานานแค่ไหนและขยายวงไปเทาใด และแม้เมื่อสงครามจะยุติลง ผลกระทบจากสงครามก็อาจยังอยู่กับเราไปนานกว่านั้น
“ถ้าเราคิดว่าสงครามเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะความรู้สึกรักชาติ คำถามที่ควรต้องถามควบคู่กันไปคือชาติในนิยามของเรานั้นได้รวมเอาเพื่อนร่วมชาติทั้งที่เป็นพลทหารและประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งอาจได้รับผลกระทบและต้องแบกรับความสูญเสียจากภัยสงครามมากกว่าใคร”
— ดร.ชญานิษฐ์ กล่าว
ดร.ชญานิษฐ์ ยอมรับว่า การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้อาจขัดแย้งกับความรู้สึกของคนไทยจำนวนไม่น้อย แต่ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องชี้ชวนกันพิจารณา และใคร่ครวญถึงผลกระทบจากกสงครามร่วมกันอย่างจริงจัง เพราะคนที่ไม่สนับสนุนหรือไม่เรียกร้องให้รัฐก่อสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านนั้นไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักชาติ แต่ความเป็นชาติของเขาไม่ได้มีแค่เรื่องดินแดน แต่รวมเอาความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมชาติเข้าไป เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องดินแดนเช่นกัน