ก่อนการประชุม JBC : Joint Boundary Commission จะเริ่มขึ้นที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 คนไทยต้องร่วมกันทำใจ และทำความเข้าใจก่อนว่า เวที JBC ครั้งนี้ จะไม่มีข้อยุติใดใด สำหรับข้อขัดแย้งในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต บริเวณอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และบริเวณพื้นที่ 3 ปราสาท อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
เพราะแถลงการณ์ของกัมพูชาทั้งระดับ Official หรือระดับกระทรวง และท่าทีส่วนบุคคล ทั้งตัวสมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต ต่างก็ยืนยันชัดว่า จะไม่นำข้อพิพาททั้ง 2 บริเวณเข้าสู่การพูดคุยในเวที JBC แต่จะนำไปสู่การหาทางออกในเวทีระดับนานาชาติ หรือนำเข้าสู่การพิจารณาของ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ)
ดังนั้น ผลของการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ก็พอคาดเดาได้ว่า แม้ฝ่ายไทยจะพยายามหยิบยกประเด็นนี้มาหารือ แต่ฝ่ายกัมพูชา ก็คงบ่ายเบี่ยง และอาจจะอาศัยความเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรอบนี้ ไม่บรรจุประเด็นนี้เข้าสู่วาระ
ล่าสุดท่าทีของสอง พ่อลูก ‘ตระกูลฮุน’ ก็ยังคงแสดงชัดถึงประเด็นนี้ โดยต่างคนต่างแยกบทบาทกันทำหน้าที่ แต่มีเป้าหมายเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ผู้พ่อ เดินเกมภายในประเทศ ด้วยการจุดไฟการรักชาติ เพื่อสร้างกระแสกับคนกัมพูชาทั้งประเทศ
ขณะที่ พล.อ.ฮุน มาเนต คนลูก ไปเดินสายอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อหาแนวร่วมในระดับนานาชาติ ที่จะสนับสนุนการนำข้อพิพาทในพื้นที่ทั้ง 2 จุด ขึ้นสู่การพิจารณาในระดับสากล
สมเด็จ ฮุน เซน นั้นเล่นบทแข็งกร้าว ด้วยการเปิดตัวมูลนิธิ CTN เพื่อระดมทุนและเงินบริจาคจากประชาชน โดยโพสต์ข้อความผ่าน FB ส่วนตัวของเขาว่า ได้เปิดตัวมูลนิธิ CTN เพื่อสนับสนุนกองทัพกัมพูชา เพื่อให้มูลนิธินี้เป็นตัวแทนในการป้องกันประเทศที่แข็งแกร่งของประชาชนกัมพูชา ในการต่อสู้กับการรุกรานของไทย ทั้งวิธีการทางทหาร การเมือง การทูต หรือทางกฎหมาย
ฮุน เซน ระบุว่า การต่อสู้กับไทยในทุกด้าน จะต้องดำเนินการเป็นกลยุทธ์ระยะยาว และกองทัพกัมพูชาต้องพร้อมตลอดเวลา รวมถึงจะต้องเตรียมความพร้อม ที่จะใช้กระบวนการทางกฎหมายผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเช่นกัน
ฮุน เซน และภรรยา เริ่มต้นเงินก้อนแรกของมูลนิธิ ด้วยการบริจาคเงิน 300 ล้านเรียล หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท ให้เป็นเงินบริจาคในระยะแรก พร้อมยังเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนร่วมสนับสนุนกองทัพกัมพูชา ประเทศ และแผ่นดินกัมพูชา
ขณะที่ พล.อ.ฮุน มาเนต ยังคงอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และมีการเผยแพร่ภาพที่เขาเข้าพบประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง
ต่อมา ฌอง ฟรองซัวส์ เต็ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบด้านการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์สื่อว่า ประธานาธิบดีมาครง รับปากว่า “จะให้ความช่วยเหลือทั้งสองประเทศอย่างเป็นกลาง และสร้างสรรค์ โดยฝรั่งเศสพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ โดยการจัดเตรียมเอกสารให้ทั้งสองฝ่าย ทั้งไทยและกัมพูชา”
หากจำเป็นเขายังยืนยันว่า การพูดคุยระหว่าง พล.อ.ฮุน มาเนต และประธานนาธิบดีมาครง นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ยืนยันจุดยืนของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดนกับไทย อันเป็นจุดยืนที่ได้เคยยืนยันกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียทั้ง 3 ข้อก่อนหน้านั้น ว่า
ข้อแรก กัมพูชายึดมั่นในจุดยืนที่จะรักษาสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือที่ดีกับไทย
ข้อสอง การตัดสินใจของกัมพูชาที่จะนำประเด็นปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีวัตถุประสงค์เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาชายแดนในพื้นที่ดังกล่าวโดยสันติโดยเร็วที่สุด แทนที่จะปล่อยให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่การสู้รบกันอีกครั้ง
ข้อสาม กัมพูชาพร้อมร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการวัดเขตแดนที่เหลือและปักปันเขตแดนระหว่างสองประเทศ (นอกเหนือจาก 4 พื้นที่ข้างต้น) โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC)
ทั้งสองบทบาท ของ ทั้งสองพ่อลูก ‘ตระกูลฮุน’ ที่นำเสนอผ่านทั้งโซเชียลมีเดีย และสื่อหลัก ยิ่งย้ำชัดว่า กัมพูชา จะไม่หยุดที่เวที JBC อย่างแน่นอน
EP.ที่ผ่านมา ลงลึกรายละเอียดเป้าประสงค์ลึกของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน ที่วางเกมที่จะหยิบฉวยสถานการณ์ช่องบก เพื่อเป็นกระดานหกไปสู่เส้นทางการเป็นรัฐบุรุษของกัมพูชา
เพราะหากหมากเกมนี้ประสบความสำเร็จ ฮุน เซน ก็จะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ยิ่งกว่า สมเด็จมหาอัครเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ทันที เนื่องจากจะเป็นผู้นำกัมพูชาคนแรก ที่สามารถยุติปัญหาเขตแดนกัมพูชาที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ด้าน คือ ไทย, ลาว และเวียดนาม ลงได้
นอกจากนี้ การขุดคลองฟูนันเตโช ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ เพื่อเปิดเส้นทางขนส่งออกสู่ทะเล และผลจากการแก้ปัญหาเส้นแบ่งเขตแดนไทย - กัมพูชา ที่มีผลต่อการแบ่งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานจำนวนมากมหาศาล อันจะสามารถสร้างรายได้ และการจ้างงานให้กับชาวกัมพูชา ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจ หรือ ‘Turning Point’ ครั้งใหญ่ของกัมพูชาเช่นกัน
ทั้งสองความสำเร็จนี้ หากเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่คนใน ‘ตระกูลฮุน’ เรืองอำนาจ ทั้งสมเด็จฮุน เซน และพล.อ.ฮุน มาเนต ก็จะเป็นผู้ที่คนกัมพูชาทั้งประเทศจะต้องจารึกไว้ และส่งผลต่อการสืบทอดอำนาจของคน ‘ตระกูลฮุน’ ไปได้อีกระยะใหญ่ๆ
สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนตจึงพร้อมที่จะทุ่มเดิมพันเต็มที่ สำหรับการนำความขัดแย้งบริเวณสามเหลี่ยมมรกต และบริเวณสามปราสาทในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ขึ้นสู่การพิจารณาในเวทีนานาชาติ ซึ่งจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งในพื้นที่ และความพร้อมในการต่อสู้คดีในต่างประเทศ
ในพื้นที่นั้น ล่าสุด แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ให้ข้อมูลว่า กัมพูชายังคงตรึงกำลังทหารราบจำนวนมาก และอาวุธหนัก ที่เคลื่อนเข้ามาในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามพื้นที่พิพาททั้ง 2 จุด ทั้งบริเวณฝั่งตรงข้ามช่องบก และฝั่งตรงข้าม บริเวณปราสาทตาเมือน ตาควาย
ซึ่งนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายจำนวนมาก สำหรับการสนับสนุนกำลังพลกว่า 13,000 นาย ที่ประจำการอยู่ทั้ง 2 จุด ซึ่งสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของ ฮุนเซน ที่จัดตั้งมูลนิธิ CTN เพื่อรับบริจาคเงินเข้ามาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในครั้งนี้
เพราะกำลังพล 13,000 นาย หากเทียบกับมาตรฐานการจัดงบประมาณของกองทัพทั่วไป อาจต้องใช้งบสูงถึงเกือบ 100 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อครอบคลุม เบี้ยเลี้ยง อาหาร น้ำมันยานพาหนะ และค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์
ส่วนกัมพูชา แม้ว่าการบริหารกองทัพของกัมพูชา จะไม่ได้ยึดหลักการบริหารแบบกองทัพชาติอื่น เพราะจะเป็นการแบ่งแยกในการบริหาร ให้ผู้บัญชาการแต่ละพื้นที่ จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายกำลังพลของตัวเอง แต่ค่าใช้จ่ายอีกหลายส่วน ก็ต้องใช้งบประมาณจากส่วนกลางสนับสนุนเช่นกัน
การตรึงกำลังทหารราบ 13,000 นาย อยู่นานเพิ่มขึ้นแค่ไหน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ ฮุน เซน ผู้คร่ำหวอดอยู่ในสนามรบมากว่าครึ่งชีวิตตระหนักดี
ส่วนการเตรียมแผนสำหรับนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลก กัมพูชาได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับสูง เพื่อจัดเตรียมเอกสารหลักฐาน ที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบในการนำคดีพิพาทตามแนวชายแดนที่ยืดเยื้อมายาวนาน สู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หลังจากที่ประชุมร่วม 2 สภา ตัดสินใจยื่นฟ้องศาลโลก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา
คณะกรรมการดังกล่าว จะประกอบด้วยกลุ่มงาน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มงานด้านกฎหมาย ที่นำโดยรัฐมนตรียุติธรรม และกลุ่มงานด้านกิจการทูต นำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม
คณะกรรมการชุดนี้ จะมีอำนาจดำเนินการในนามของราชอาณาจักรกัมพูชาต่อศาลโลก โดยจะเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของกัมพูชา ตั้งแต่ขั้นตอนการยื่นคำร้อง ไปจนถึงขั้นตอนการพิจารณาของศาลเสร็จสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีอำนาจตรวจสอบ และตัดสินใจเลือกที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อเป็นตัวแทนไปขึ้นศาลที่กรุงเฮก รวมถึงตรวจสอบเอกสารที่รวบรวมโดยกลุ่มงานด้านกฎหมาย ร่วมกับที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และงานที่ดำเนินการโดยกลุ่มงานด้านกิจการทูตเท่าที่จำเป็นอีกด้วย
นี่คือ…การเตรียมความพร้อมของกัมพูชา โดยพ่อลูก ‘ตระกูลฮุน’ ที่ต่างแยกบทบาทกันเดิน…
ขณะที่ฝั่งไทย แม้เราจะปฏิเสธอำนาจของศาลโลกมานับตั้งแต่แพ้คดีปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อ ปี 2505 แต่ปี 2556 คำพิพากษาของศาลโลก ก็ยังคงกลับมาหลอกหลอนเราอีกครั้ง ในการชี้ขาดพื้นที่ของปราสาทพระวิหารที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา
ถึงวันนี้ต้องตั้งคำถามว่า เราเตรียมการรับมือในการที่จะต่อสู้ในระดับนานาชาติ เพื่อแก้ข้อพิพาทชายแดนไทย – กัมพูชาแล้วหรือยัง?
แม้เราจะยืนกรานที่จะใช้เวทีทวิภาคี โดยเฉพาะเวที JBC ในการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา แต่หากกัมพูชาประสบความสำเร็จในการแสวงหาพันธมิตร และลากเอาปัญหาข้อพิพาทชายแดนทั้ง 2 จุดขึ้นสู่เวทีนานาชาติได้สำเร็จ เราพร้อมที่จะยืนระยะ และทำสงครามข้อมูล สงครามทางการทูต หรือนิติสงคราม เพื่อต่อสู้ในประเด็นข้อพิพาทแล้วหรือยัง?
ท่ามกลางความพร้อมของฝ่ายกัมพูชา ทั้งในพื้นที่พิพาท และความพร้อมของทีมนักกฏหมายระหว่างประเทศ ทีมสืบค้นข้อมูล และทีมนักการทูตที่เชี่ยวชาญงานการทูตในทุกระดับ
อย่าประมาท ‘2 พ่อลูกตระกูลฮุน’ สำหรับเกมในระดับนานาชาติเช่นนี้ เพราะการเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ 2 สมัย ของฮุน เซน อันเป็น 2 สมัยในห้วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับสงครามเย็น ย่อมมิใช่ธรรมดา
..เพราะหากธรรมดา ฮุน เซน ย่อมไม่เปิดเกมนี้เข้าใส่ไทยอย่างแน่นอน
EP.หน้ารอสรุปผลประชุม JBC เพื่อมาวิเคราะห์กันว่า ไทยควรเตรียมรับมือเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่ลึกล้ำของพ่อลูกคู่นี้อย่างไร