1. Reuters
• มองว่าคลิปเสียงนี้เป็นตัวเร่งให้ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาทรุดหนักในรอบกว่า 10 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการเสริมกองกำลังและวาทกรรมชาตินิยมทั้งสองฝ่าย
• เน้นว่าแพทองธารเรียกฮุน เซนว่า “อา” และย้ำให้เขาอย่าฟัง “ทางตรงกันข้าม” เช่น ผบ.ทบ.ภาค 2 โดยบอกว่า “เขาอยากดูเท่ แต่ไม่ได้ส่งผลดีต่อชาติ”
• รายงานว่าเธอกล่าวปิดประตูในการพูดคุยส่วนตัวกับฮุน เซนอีก เนื่องจาก “ขาดความเชื่อใจ”
2. Bloomberg ชี้ว่าความน่าเชื่อถือลดลงอย่างรุนแรง เมื่อเธอถูกไล่ให้โทษกองทัพว่าเป็นผู้ทำให้เกิดความตึงเครียดเรื่องเขตแดนกับกัมพูชา
3. BBC รายงานว่า การรั่วไหลของคลิปเสียงทำให้ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคใหญ่เบอร์สองในรัฐบาล ถอนตัว ส่งผลให้รัฐบาลมีเสียงสนับสนุนในสภาที่ เหลือน้อยลงมาก
4. ABC Australia
• รายงานว่าพรรคพันธมิตรสำคัญถอนตัวจากรัฐบาลไทยทันที คือ พรรคภูมิใจไทย อ้างว่าคลิปเสียงนี้ได้ “ทำลายศักดิ์ศรีของชาติและกองทัพ”
• ระบุภาพรวมทางการเมืองว่า รัฐบาลอาจอยู่บนเส้นด้าย หากพันธมิตรอีกพรรคหนึ่งถอนตัวเพิ่ม จะทำให้รัฐบาลเสี่ยงหัวสภาใหม่หรือยุบสภา
5. RFA (Radio Free Asia)
• มองว่าคลิปนี้ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะในรัฐบาลผสมของแพทองธาร ที่ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยและพรรคอนุรักษนิยม
• สะท้อนว่าคลิปได้สร้างรอยร้าวในสัมพันธ์รัฐบาล–กองทัพไทยอย่างชัดเจน
6. Khaosod English
• รายงานประเด็นต่าง ๆ เช่น
• คลิปยาว 17 นาที หลุดออกมาเป็นช่วง ๆ (9.5 นาที เสร็จแล้วตามด้วยทั้งหมด)
• มีเสียงแสดงความกังวลว่าอาจถูกใช้เพื่อกระตุ้นความนิยมในการเมืองภายในกัมพูชา
• ผู้นำฝ่ายค้านไทยขอให้ยุบสภา หวั่นเกิดรัฐประหาร หรือวิกฤติระบบรัฐสภา
วิเคราะห์โดยสื่อ ต่างประเทศ
• ถือเป็น “ชนวนสำคัญ” ที่กดดันความสัมพันธ์ข้ามชาติ และเป็นเวทีขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองทัพไทย
• พวกเขาเน้นว่าคลิปถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งในกัมพูชา (เพื่อเพิ่มคะแนนนิยมฮุน เซน) และในไทย (เพิ่มไฟวิกฤติการเมืองและการปรับ ครม.)
คลิปเสียงนี้ส่งผลรุนแรงทั้งการทูต (แรงกดดันจากกัมพูชา) การเมืองภายในไทย (พันธมิตรรัฐบาลถอนตัว ฝ่ายค้านเรียกร้องยุบสภา) การเรียกร้องให้นายกฯลาออกของภาคประชาชน และอาจเปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP, Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP