‘โควิด19’โรคประจำถิ่นที่ยังอันตราย 7 วัน ผู้ป่วยทะลุแสน!

12 มิ.ย. 2568 - 07:51

  • สถานการณ์ ‘โควิด19’ ในไทย โรคประจำถิ่นที่ยังอันตราย

  • สัปดาห์เดียว พบป่วยเพิ่มกว่า 1 แสน เสียชีวิต 33 ราย

‘โควิด19’โรคประจำถิ่นที่ยังอันตราย 7 วัน ผู้ป่วยทะลุแสน!

สถานการณ์โควิด19 รอบสัปดาห์ที่ 23 ปี 2568 ระหว่าง 1-7 มิถุนายน 2568 ล่าสุดติดเชื้อสูงต่อเนื่อง 105,225 ราย ส่วนมากเป็นผู้ป่วยนอก เสียชีวิต 33 ราย ผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 แตะ 4 แสนราย!

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โควิด-19 รายสัปดาห์ ในระบบ Digital Disease Surveillance (DDS) พบว่าข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 สัปดาห์ที่ 23 ปี 2568 ระหว่างวันที่ 1-7 มิถุนายน 2568 (ข้อมูล ณ. วันที่ 9 มิถุนายน) ล่าสุดมีผู้ป่วย 105,225 ราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยนอก 99,616 ป่วยหนักนอนโรงพยาบาล 5,609 ราย พบผู้เสียชีวิต 33 ราย  ขณะที่ ผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 อยู่ที่ 400,155 ราย ปี 2568 อยู่ที่ 100 ราย

COVID-19-an-endemic-disease-that-is-still-dangerous-SPACEBAR-Photo02.jpg

จากข้อมูลพบว่าพบผู้ติดเชื้อในกรุงเทพสูง ขณะที่ส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคน อายุระหว่าง 20-39 ปี ขณะที่ผู้สูงอายุติดเชื้อสูงขึ้นถึง18,264 ราย ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง

ทั้งนี้สถานการณ์โรคเป็นข้อมูลจากการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา โดยมีการรายงานตั้งแต่เป็นผู้ป่วยสงสัยจำนวนผู้ป่วยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่อสอบสวนโรคสิ้นสุด

COVID-19-an-endemic-disease-that-is-still-dangerous-SPACEBAR-Photo01.jpg

ขณะที่การเกาะติดความเคลื่อนไหว อัปเดตสถานการณ์โควิด19 รายวัน ข้อมูลประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2568 
ผู้ป่วยรายใหม่ 7,527 ราย
ผู้ป่วยสะสม 439,527 ราย
เสียชีวิตรายใหม่ 6 ราย
เสียชีวิตสะสม 130 ราย

‘โควิด19’ โรคประจำถิ่นที่ยังอันตราย

นพ.ธีระวรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ และนักวิชาการด้านสาธารณสุข ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Thira Woratanarat’ อัปเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ในประเทศไทย ระบุถึงข้อมูลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โควิด 19 เป็นโรคอันดับที่ 1 ในบรรดากลุ่มโรคที่เฝ้าระวัง ที่ทำให้คนไทยเราป่วยกันมากที่สุด

ตัวเลขในระบบรายงานนั้นชี้ว่า สัปดาห์เดียว 111,472 ราย เสียชีวิตไป 31 ราย ทิ้งห่างอันดับ 2-10 ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น หากดูตัวเลขการป่วยรักษาที่โรงพยาบาล ตั้งแต่ต้นปีจนถึงบัดนี้ โควิด19 มีมากกว่า 4 แสนราย โดยยังไม่นับรวมคนอีกจำนวนมากที่ตรวจพบว่า ติดเชื้อ ป่วย แต่ไม่ได้ไปโรงพยาบาล หรือไม่มีการรายงานเข้าในระบบ จำนวนเสียชีวิตจากโควิด19 มากกว่าไข้หวัดใหญ่กว่า 3 เท่า

โควิดป่วยสูง กรมควบคุมโรค อยู่ระหว่างวิเคราะห์เหตุเสียชีวิต

พญ. จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โควิด19 ในการแถลงข่าว “พฤษภา เปิดเทอมใหม่ ปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพหน้าฝน”  (28 พ.ค.2568) ว่า ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ปัจจุบันคนไข้สะสม  221,186 ราย และเสียชีวิต  52 ราย สถานการณ์ขณะนี้เป็นอย่างไร หากดูกราฟตั้งแต่ปี 2564 -2565 อัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 1

แต่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 กรมควบคุมโรคเปลี่ยนสถานะจากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง สื่อสารประมาณเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งในปี 2566-2567 ก็ยังมีโควิด แต่อัตราเสียชีวิตลดลง โดยเคสโควิดป่วยตายเหลือร้อยละ 0.02 กระทั่งหลังสงกรานต์ปี 2568 มีเคสผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

ความรุนแรงของโควิดลดลงเรื่อยๆ แต่เราไม่ประมาท อย่างปีนี้ อัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.02% โดยข้อมูลปี 2568 ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหลังสงกรานต์ ช่วงสัปดาห์ที่ 17 คือ ช่วงวันที่ 20-26 เมษายน มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และตั้งแต่สัปดาห์ที่ 19 เริ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกัน โดยสัปดาห์ที่ 19 คือช่วงวันที่ 4-10 พฤษภาคม ป่วย 33,608 ราย สัปดาห์ที่ 20 คือ 11-17 พฤษภาคม ป่วย 57,826 ราย และสัปดาห์ที่ 21 วันที่ 18-24 พฤษภาคม ป่วย 67,484 ราย แต่พอสัปดาห์ที่ 22 ช่วงวันที่ 25-27 พฤษภาคม ป่วยเหลือ 9,253 ราย

“เห็นว่าในช่วงสัปดาห์ที่ 19-21 พบว่าจำนวนผู้ป่วยสูงกว่าค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5 ปี รวมถึงสูงกว่าจำนวนผุ้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 สรุปคือ หลังสงกรานต์ อัตราป่วยตายยังเฉลี่ยร้อยละ 0.02 จึงไม่รุนแรง ขอให้ประชาชนตระหนัก แต่อย่าตระหนก เพราะไวรัสปรับเปลี่ยนให้ความรุนแรงลดลง เนื่องจากเป็นโรคประจำถิ่น แต่อาจมีการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ช่วงหน้าฝน หน้าหนาว เหมือนไวรัสทางเดินหายใจทั่วไป อย่างไข้หวัดใหญ่ หรือ RSV” พญ.จุไร กล่าว

10 จังหวัดอัตราป่วยสูงสุด

พญ.จุไร กล่าวอีกว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ระยอง อัตราป่วยอยู่ที่ 1,073 คนต่อประชากรแสนคน รองลงมา กรุงเทพมหานคร 976 คนต่อประชากรแสนคน, ชลบุรี 914 คนต่อประชากรแสนคน, ภูเก็ต 911 คนต่อประชากรแสนคน, นนทบุรี 817 คนต่อประชากรแสนคน, ปทุมธานี 650 คนต่อประชากรแสนคน, นครปฐม 639 คนต่อประชากรแสนคน, สมุทรปราการ 609 คนต่อประชากรแสนคน, ตราด 585 คนต่อประชากรแสนคน และประจวบคีรีขันธ์ 548 คนต่อประชากรแสนคน

ทั้งนี้ อัตราป่วยจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่าก่อนและหลังสงกรานต์ สัปดาห์ที่ 17-22 ป่วยมากสุดคือ เด็ก อายุ  0-4 ปี และส่วนผู้ใหญ่อายุ 30-39 ปี รองลงมาอายุ 20-29 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งพบมาก และข้อมูลตรงกันทั้งก่อน และหลังสงกรานต์

“ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิดปี 2568 พบ 51 ราย ในอัตราตายที่ 0.08 ต่อประชากรแสนคน โดย 78% ของผู้เสียชีวิตคือ อายุ 60 ปีขึ้นไปและมีภาวะปอดอักเสบร่วมด้วย ขณะนี้กำลังวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของกลุ่มเสียชีวิตว่า มีปัจจัยเสี่ยงอะไรร่วมด้วย แต่ที่แน่ๆ เป็นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ซึ่งกำลังดูว่ามีปัจจัยโรคประจำตัวอะไร และเป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อนหรือไม่” พญ.จุไร กล่าว

ทั้งนี้ การระบาดกลุ่มก้อนของโควิดในปีนี้ (สัปดาห์ที่ 17-21 หลังสงกรานต์) มี 14 เหตุการณ์ โดยมีการระบาดในเรือนจำ 6 เหตุการณ์ มีผู้ป่วย 198 ราย  สถานศึกษา 5 เหตุการณ์ ผู้ป่วย 258 ราย ค่ายทหาร 2 เหตุการณ์ ผู้ป่วย 178 ราย และโรงพยาบาล 1 เหตุการณ์ ผู้ป่วย 35 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ค.2568)

สายพันธุ์โควิดยังไม่มีสัญญาณรุนแรง

สำหรับการถอดรหัสพันธุกรรมการของเชื้อ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า สายพันธ์โอมิครอนในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมกราคม 2567- 6 พฤษภาคม 2568 พบว่า JN.1 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.92 ของสายพันธ์ทั้งหมดในไทย ส่วนสายพันธ์ XEC แนวโน้มลดลง สอดคล้องกับการระบาดทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนสายพันธุ์ไม่มีผลต่อความรุนแรง แต่มีความไวต่อการระบาด

โฆษกกรมควบคุมโรค เปิดเผยด้วยว่า “กรมวิทย์กำลังจับตาสายพันธุ์อื่นๆ อยู่ ส่วนที่มีข้อกังวลเรื่องบางรายมีอาการท้องเสีย จริงๆ ไวรัสทางระบบหายใจตัวอื่นๆ ก็มีอาการนี้ได้ ไม่เฉพาะเจาะจง แต่รักษาได้ สำหรับไวรัสโควิดมีการปรับตัวให้ความรุนแรงลดลง เพื่อให้แพร่เชื้อต่อได้ ขณะนี้ไวรัสเองก็กำลังปรับตัว จึงไม่ค่อยรุนแรง แต่เมื่อไปเจอกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุก็อาจรุนแรงได้ ประกอบกับปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังมีภูมิคุ้มกันจากโควิดระบาดก่อนหน้านี้ ย้ำว่า ยังไม่มีสัญญาณว่า โควิดปรับตัวจะทำให้เชื้อรุนแรงขึ้น”

ทั้งนี้ อาการโควิดอย่างของเด็ก ไม่รุนแรง แต่ RSV รุนแรงกว่า โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ซึ่งเด็กยังให้ยาฟาวิพิราเวียร์ แต่ผู้ใหญ่เราไม่ให้แล้ว โดยให้งดพักที่บ้าน 5 วัน ไม่ต้องไปโรงเรียน กรณีนอนแอดมิดจะเป็นเด็กเล็กๆ มากกว่า ซึ่งอาการแสดงออกไม่ได้รุนแรงกว่าไวรัสอื่นๆ

ส่วนอาการในผู้ใหญ่ ต้องระวังผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งแอดมิดในโรงพยาบาล จะมีภาวะปอดอักเสบ แต่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับสายพันธ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคไม่ได้เพิ่มขึ้น

สปสช.ดูแลผู้ป่วยโควิด ผ่านบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกที่

ขณะเดียวกัน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งขาติ (สปสช.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ขณะนี้มีรายงานพบผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่มาก

เพื่อเป็นการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เข้าถึงบริการและลดความแออัดผู้ป่วยในการเข้ารับบริการที่โรงพยาบาล สปสช.แนะนำผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ที่มีอาการในกลุ่มสีเขียวเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิบัตรทองที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน และไม่เสียค่าใช้จ่าย ผ่าน 3 ช่องทางบริการ ได้แก่

1.ร้านยา ที่เข้าร่วมเป็นหน่วยร่วมให้บริการด้านเภสัชกรรมในระบบ สปสช.บริการดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย ครอบคลุม 32กลุ่มอาการ ซึ่งรวมถึงกรณีโรคโควิด19 ที่มีอาการไม่มาก ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการประเมินจากเภสัชกรและให้ยารักษาตามอาการ โดยสังเกตร้านยาที่เข้าร่วมจากสติกเกอร์ “30 บาทรักษาทุกที่” หรือสติ๊กเกอร์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” หรือดูรายชื่อร้านยาที่เข้าร่วมที่https://wdrugapi.nhso.go.th/public/ เลือกประเภทร้านยาเจ็บป่วยเล็กน้อย

2.เข้ารับบริการพบแพทย์ผ่าน “ระบบการแพทย์ทางไกล” (Telemedicine) ได้ โดยใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับบริการผ่าน 3 แอปพลิเคชันสุขภาพที่ครอบคลุมการดูแล 42 กลุ่มโรค/อาการ รวมถึงโรคโควิด19 ด้วยเช่นกัน สามารถให้บริการผู้ป่วยโควิดได้วันละ 1,000 ราย ซึ่งจะได้รับคำแนะนำการดูแลสุขภาพและรับยารักษาตามอาการ จัดส่งยาถึงบ้าน

โดยประชาชนสามารถเลือกรับบริการแอปฯใดแอปฯหนึ่ง ดังนี้

แอปพลิเคชัน Clicknic (คลิกนิก) โดยคลิกนิกเฮลท์ คลินิกเวชกรรม สอบถามเพิ่มเติม ไลน์ไอดี @clicknic

แอปพลิเคชัน Mordee (หมอดี) โดยชีวีบริรักษ์ คลินิกเวชกรรม สอบถามเพิ่มเติม ไลน์ไอดี @mordeeapp ลงทะเบียนรับบริการได้ที่นี่ https://form.typeform.com/to/qKY8gV4X

แอปพลิเคชัน Saluber MD (ซาลูเบอร์ เอ็ม ดี) โดยสุขสบายคลินิกเวชกรรม สอบถามเพิ่มเติม ไลน์ไอดี @smdthailand

3.ยังใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับบริการผ่านนวัตกรรมบริการ “ตู้ห่วงใย” ได้ โดยเป็นการรับบริการผ่านระบบการแพทย์ทางไกลที่ให้บริการ42กลุ่มโรค/อาการ ซึ่งขณะนี้ได้ติดตั้งให้บริการแล้วใน 10 พื้นที่ สามารถดูจุดตั้งบริการได้ที่ ตู้ห่วงใย.com โดยสามารถเลือกจุดเข้ารับบริการได้ตามความสะดวก ขั้นตอนรับบริการไม่ยุ่งยาก เพียงเข้าไปยังตู้ห่วงใย เสียบบัตรประชาชนเพื่อยืนยันการรับบริการ ฟังคำแนะนำจากระบบ ทำการวัดค่าต่างๆ ในร่างกาย พบแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ ในกรณีที่ต้องรับยา สามารถเลือกตามความสะดวก ทั้งรับยาจากร้านยาที่เข้าร่วม หรือรอรับยาจัดส่งถึงบ้าน

สำหรับ 3 ช่องทางเพื่อให้บริการดูแลผู้ป่วยโควิด19 สิทธิบัตรทองนี้ เป็นการดูแลผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวและจ่ายยาตามอาการของผู้ป่วย โดยไม่ได้มีจ่ายยา ‘ฟาวิพิราเวียร์’ (Favipiravir) และ ‘โมลนูพิราเวียร์’ (Molnupiravir) ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากของกรมการแพทย์ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงสามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ บริการโควิด19

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์