คงแจ่มชัดแล้วว่า การปรับครม.แพทองธาร ชินวัตร ต้องเกิดขึ้นในเร็ววันนี้และอาจมีขึ้นก่อนวันที่ 13 มิถุนายนด้วยซ้ำ เพื่อให้การจัดระเบียบการเมืองในรัฐบาล จบก่อนถึงวันชี้ชะตาทักษิณ ชินวัตร รอบใหม่
ส่วนจะปรับแบบไหน คงพอได้เห็นภาพลาง ๆ กันไปบ้างว่า สองพรรคใหญ่ "เพื่อไทย-ภูมิใจไทย" น่าจะยังจับมือไปด้วยกันต่อ แต่ต้องมาเขย่าเก้าอี้กันใหม่ ตามข้อเสนอที่ภูมิใจไทยให้โจทย์ไปต้อง "ปรับใหญ่"
ทั้งหลายทั้งปวง เพื่อหาบันไดลงให้ตัวเอง เมื่อต้องคายเก้าอี้มหาดไทยให้กับพรรคเพื่อไทย จะได้ไม่เสียทรงทางการเมืองพรรคตัวแปรสำคัญมากนัก ที่ถูกใครไม่รู้มาขู่กรรโชกเอาเก้าอี้ใหญ่ไป
แต่เป็นการเริ่มต้นกันใหม่ภายใต้โจทย์ใหญ่ของประเทศ
ที่ปัจจุบันมีปัญหารุมเร้ารอบด้าน ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติดที่รุนแรงทำลายคนในชาติ ปัญหาความมั่นคง ที่มีข้อพิพาทกระทบกระทั่งกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งกัมพูชา พม่า ไปจนถึงความรุนแรงในภาคใต้ ที่กลับมาปะทุอีกรอบ
"รัฐบาลควรจะแก้ปัญหาเหล่านี้ก่อน ไม่ควรนำปัญหาการเมืองมาซ้ำเติมสถานการณ์อีก"
ฟังดูเหตุผลข้างต้นที่อ้างอิงแหล่งข่าวจากผู้บริหารพรรคภูมิใจไทย เหมือนกับตกผลึกในเรื่องของบ้านเมืองกับพรรค เรื่องส่วนตัวต้องแยกให้ออก อย่านำมาปนกัน และดูเท่ขึ้นอีกเป็นกองเมื่อสำทับว่า
"การปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ควรจะเป็นการปรับเพื่อแก้ปัญหาการเมืองในรัฐบาล หรือเพื่อชิงความได้เปรียบ เสียเปรียบ ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเป็นประโยชน์ของพรรคการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประชาชน"
เอาเป็นว่า เมื่อออกลีลามาขนาดนี้แสดงว่า "ครูใหญ่" คงไม่ไปต่อรองอะไรมาก แถมฟังมาว่า "ให้เพื่อไทยจัดมาเลย แล้วเอามาดูว่า โอเคมั้ย"
นั่นเท่ากับว่า คนในค่ายพรรคสีน้ำเงินประเมินแล้วว่า อายุขัยของรัฐบาลชุดนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน ในเมื่อสถานการณ์อยู่บนความไม่แน่นอนแบบนี้ ก็ลดเพดานบินลงและอยู่เป็นรัฐบาลต่อไป ดีกว่าออกมานั่งตบยุงเป็นฝ่ายค้านอยู่ข้างนอก
ที่สำคัญพรรคภูมิใจไทยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา อยู่ในซีกรัฐบาลมาเสียจนชินแล้ว
แต่อย่างไรเสีย มือการเมืองระดับครูใหญ่ คงไม่ยอมปล่อยเก้าอี้มหาดไทยไปโดยไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเป็นแน่ เพราะขนาดอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา ในท่ามกลางศึกแดง-น้ำเงิน ที่พันตูกันอยู่ ยังมีวรรคทองจากปาก ไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ ว่า
"พวกเราทำแล้ว พวกท่านทำแล้วหรือยัง”
งานนี้แม้จะมีสัญญาณขัดข้องจากปลายสายที่เจนีวา อนุทิน ชาญวีรกูล ปฏิเสธผ่านสื่อบางสำนักข้ามน้ำข้ามทะเลมาว่า ยังไม่ได้คุยกันก็ตาม แต่คนในเพื่อไทยบางปีกก็ชิงปล่อยโผครม.อิ๊งค์ 2 ตัดหน้า ตั้งแต่กลางดึกคืนวันที่ 3 มิถุนายน
อีกสัญญาณหนึ่งของการปรับใหญ่ครม.อิ๊งค์ คือ ภาพการดื่มกาแฟร่วมกันของ สุชาติ ชมกลิ่น กับ 5 สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ซึ่งมีอดีต รมว.อุตสาหกรรม พิทพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช และอีก 3 สส.ชุมพร ร่วมวงด้วย
การพบปะกันในวงกาแฟของสุชาติ คงเป็นคนละเหตุผลกับวงข้าวมื้อเที่ยงในวันก่อน เพราะคงไม่ใช่ชักชวนกันไปหา "โอกาสใหม่" ทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่น่าจะเป็นเรื่องของการปรับครม.ที่กำลังจะมีขึ้นมากกว่า
ประมาณว่า จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน ทำนองนั้น
เพราะในภาวะที่ รทสช.กำลังระส่ำ ไม่ใช่พรรคที่มี DNA ของ "ลุงตู่" อีกต่อไปแล้ว เมื่อถึงคราวต้องเขย่าเก้าอี้ครม.กันใหม่ เงื่อนไขหรือตั๋วพิเศษเดิมที่เคยมี ก็ต้องหมดไปด้วย ดังนั้น การออกมาเคลื่อนไหวของสุชาติและคณะ จึงเท่ากับเป็นการรวบรวมตัวเลขสส.เพื่อร่วมรัฐนาวาอิ๊งค์ 2 ไปด้วย
ส่วนจะถึงขั้นต้องใช้สูตรเดียวกับ "ผู้กองโมเดล" สมัยที่ยังอยู่พลังประชารัฐหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป
สุดท้าย พรรคเพื่อไทย ที่ล้มเหลวเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงเบนเข็มมาที่กระทรวงมหาดไทยแทน หวังใช้เป็นเรือธงลำใหม่ ทะลวงปัญหายาเสพติดในช่วงสองปีที่เหลือ ปั่นกระแสนายกฯ อิ๊งค์ นำไปใช้หาเสียงในฐานะแม่ทัพหญิง คว้าแชมป์เลือกตั้งให้พรรคเพื่อไทยสมัยหน้า
ส่วนจะทำได้หรือไม่ หรือจะไปต่อกันได้กี่น้ำ นาทีนี้ไม่มีใครตอบได้ แต่การปรับครม.แบบเขย่าใหม่แล้วไปต่อ คงตรงใจใครหลายคน อย่างน้อยก็ทำให้คนที่บ่นเบื่อการเมือง ได้มีความหวังขึ้นมาบ้าง