ตัดสินใจอยู่นานว่า จะลงมือเขียนถึงเรื่องปัญหาไทย-กัมพูชา หรือไม่ และถ้าเขียน จะเขียนในแง่มุมไหน เพราะหลังติดตามข้อมูลสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ทั้งบริเวณ ปราสาทตาเมือน และช่องบก มาระยะหนึ่ง ก็เริ่มเห็นเค้าลางของสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสถานการณ์นี้ในหลายรูปแบบ และในหลายแง่มุม
ระหว่างที่ติดตามสถานการณ์ ก็มีเวลาวันหยุดยาวได้ดูซีรีส์บน NETFIX หลายเรื่อง โดยเฉพาะสารคดีย้อนประวัติศาสตร์ TURNING POINT ที่ NETFIX เอามาตัดต่อใหม่ จากสารคดีชุดยาว ย่อยออกมาเป็นซีรีส์ใหม่ ทั้งจุดเปลี่ยนของสงครามเย็นในสงครามเวียดนาม จุดเปลี่ยนในตะวันออกกลาง จุดเปลี่ยนของบิน ลาเดน มาจนถึงสถานการณ์ล่าสุดระหว่างรัสเซียและยูเครน
ก่อนจะใช้เวลาเกินครึ่งวัน ดูซีรี่ย์ยอดนิยม “สงครามส่งด่วน” จนจบในวันเดียว
ระหว่างดูไปก็คิดเทียบกับสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาไปด้วย
จนพอประมาณภาพออกมาชัดถึง แต่ละ Scenario ว่าจะก่อให้เกิดจุดหักเห หรือจุดเปลี่ยนสำคัญอะไรได้บ้าง
สุดท้าย เมื่อดู “สงครามส่งด่วน” จบ ก็เห็นภาระความเร่งรีบ ความเร่งด่วนของคนบางกลุ่ม ใครบางคน ทั้งที่เป็นบุรุษหลังม่าน หรือ บุรุษหน้าม่าน ที่กระหาย เร่งรีบ และพร้อมที่จะหยิบฉวยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนแนวชายแดนไทย - กัมพูชา มาเป็นบันไดไปสู่อำนาจ สู่ตำแหน่ง และสู่เส้นทางการแสวงประโยชน์
บางคนยอมกระทั่งเสียจุดยืน เสียหลักการ เพื่อโหนกระแส และโหมไฟแห่งความขัดแย้ง เพียงเพื่อเป้าหมายที่ตัวเองต้องไปให้ถึง
สงครามส่งด่วน ในซีรี่ย์ NETFIX มีตัวละครไม่กี่ตัว ที่ต้องจำบทบาทแต่ละคนให้แม่น
สันติ หนุ่มจากดอยวาวี
คณิณ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
เสี่ยวหยู CFO สาวแกร่ง ที่ซื่อสัตย์ต่อหลักการนักการเงิน
รุ่ยเจี๋ย เทคนิเชียลแมน ที่เชี่ยวชาญการเขียนซอพแวร์ระบบขนส่ง
แต่สงครามส่งด่วน ในซีรีส์ ‘ช่องบก’ มีตัวละครมากกว่านั้น…
แต่ละตัวละครต่างก็มีบทบาท ต่างก็มีเป้าหมาย ต่างก็มีเครือข่ายที่ต่างกัน ที่เหมือนกัน ก็มีความเร่งรีบ มีความเร่งร้อน ที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างเร่งด่วน จนนำไปสู่สงครามการช่วงชิง
การช่วงชิงที่อาจจะนำไปสู่จุดเปลี่ยนและจุดหักเหสำคัญ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในประเทศ ภายในกองทัพและภายนอกประเทศ หรืออาจจะลุกลามลงไปสู่ผลประโยชน์ในท้องทะเล ผลประโยชน์ระดับภูมิภาค และนำไปสู่จุดเปลี่ยนของสงครามเย็นรอบใหม่
ตัวละครตอนนี้ที่เห็นภาพชัด ๆ ตัวละครหลักก็น่าจะเป็น พ่อ-ลูกตระกูลฮุน ทั้งฮุนเซน และ ฮุนมาเนต , พ่อ-ลูกตระกูลชิน ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และนายกอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร
ตัวละครรองลงมา ฝ่ายไทยก็มี สหายอ้วน ภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ผบ.ปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก
แม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสินพาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
ฝ่ายกัมพูชา ก็มี เตีย เซยฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พล.อ.เมา โซะ พัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา
พล.ต.เนี๊ยะ วงศ์ ผู้บัญชาการกองพลน้อย ร.42
ส่วนบรรดาตัวละครย่อย ตัวละครหลังม่าน จะค่อย ๆ เปิดตัวออกมาให้เห็นใน EP. ที่จะต้องเอ่ยถึง
ขณะที่แก่นของเนื้อหาในซีรี่ย์รอบนี้ คือ ความขัดแย้งของเส้นแบ่งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยเฉพาะแผนที่แบ่งเขตแดน ที่เป็นมรดกความขัดแย้งมาตั้งแต่สมัยฝรั่งเศส เป็นเจ้าอาณานิคมในเขมร ลาว และเวียดนาม
ฝ่ายไทย ยึดถือแผนที่เขตแดน ฉบับอัตราส่วน 1 : 50,000
ส่วนกัมพูชา ยึดถือแผนที่เขตแดน ฉบับอัตราส่วน 1 : 200,000
ความสำคัญของแผนที่แต่ละฉบับ มีผลต่ออาณาเขต ต่อดินแดน และต่อผลประโยชน์ทางทะเลของแต่ละประเทศอย่างมหาศาล
ส่วนเหตุผลที่ทำไม ความขัดแย้งรอบนี้ ถึงเลือกที่จะกลับมาปะทุอีกครั้งในช่วงเวลานี้
ทำไมตัวละครหลักอย่าง พ่อ-ลูก ตระกูลฮุน ถึงเร่งเปิดเกมรุกหนัก ทั้งที่มีท่าทีและสายสัมพันธ์ที่ดีและแนบแน่นกับ พ่อ-ลูก ตระกูลชิน
และทำไมตัวละครรองอย่าง รัฐมนตรีอ้วน ,ผบ.ปู ,แม่ทัพกุ้ง ,รัฐมนตรี เตีย เซย ฮา ของกัมพูชา ถึงถูกสปอตไลท์ส่องหนัก…
แต่ละ EP. นับจากนี้ จะค่อยๆคลี่ ปมที่ถูกอยู่เบื้องหลัง และเกมผลประโยชน์ออกมาให้เห็น เพื่อการติดตามซีรี่ย์ ‘ช่องบก’ The Turning Point แต่ละ EP. จะได้สนุก มีอรรถรส และเข้าใจบริบทที่เกิดขึ้นได้อย่างถ่องแท้
EP.แรก จะขอฉายภาพแค่เตือนสติในการติดตามข้อมูลข่าวสาร สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นับจากนี้จะต้องแม่นยำในข้อมูล ไม่หลงไปกับความพยายาม ในการสร้างข้อมูลกึ่งเทียม ที่อิงข้อมูลเก่า และเรื่องราวในอดีตมาสร้างกระแส
โดยเฉพาะประเด็นการเมือง จะย้ายแม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เพราะมีความขัดแย้ง และไม่ฟังคำสั่งฝั่งการเมือง
ประเด็นแรกที่ต้องรู้ คือ แม่ทัพกุ้ง จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2568 ดังนั้นการกระทำใดใดของ แม่ทัพกุ้ง มิได้ดำเนินไปบนความกระหายอยากที่จะอยู่บนตำแหน่งแม่ทัพต่อ หรือเพื่อบำเหน็จที่จะขยับขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น
ประเด็นที่สอง คือ การปรับย้ายนายทหารชั้นนายพลนั้น ฝ่ายการเมือง ไม่สามารถสั่งย้ายโดยไม่มีเหตุผล ดังที่เคยทำได้ในอดีต
เหตุผล คือ ปัจจุบัน การปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล ตามพระราชบัญญัติการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เป็นอำนาจของคณะกรรมการกลาโหม ที่ประกอบด้วย
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
3. ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
4. ผู้บัญชาการทหารบก
5. ผู้บัญชาการทหารเรือ
6. ผู้บัญชาการทหารอากาศ
7. ปลัดกระทรวงกลาโหม
จริงอยู่แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีช่วย จะเป็น 2 ใน 7 คณะกรรมการ แต่การปรับย้ายแต่ละครั้ง ผบ.แต่ละเหล่าทัพ จะต้องเป็นเสนอชื่อต่อคณะกรรมการกลาโหม เพื่อให้กรรมการตั้ง 7 ลงนามเซ็นรับรองการปรับย้าย
กรณีที่ไม่เห็นด้วยต่อบัญชีปรับย้ายของเหล่าทัพใด กรรมการมีสิทธิแสดงความเห็น หรือสอบถามความเห็นผบ.เหล่าทัพต้นสังกัด และอาจมีการโหวต เพื่อขอความเห็นชอบ กรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยเสียงส่วนไหญ่ 4 ใน 7 ถือเป็นอันสิ้นสุด
ที่ผ่านมานับจาก พรบ.ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2551 ยังไม่ปรากฏข้อมูลว่ามีการโหวตเกิดขึ้น
ล่าสุดในการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อปีที่ผ่านมา แม้มีความเห็นต่างระหว่างชื่อ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ และ พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข
แต่ท้ายที่สุดเมื่อ พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม ผบ.ทร.ในขณะนั้นยืนกรานที่จะเสนอชื่อ พล.ร.อ.จิรพล ที่ประชุมก็เห็นชอบตามนั้น โดยไม่มีการโหวตเกิดขึ้น
ส่วนปรับย้าย พล.ท.บุญสิน นอกฤดูกาล จะทำได้ก็ต่อเมื่อพล.ท.บุญสิน มีความผิดที่ชัดเจน และคนลงนามการย้าย จะต้องเป็น ผบ.ทบ.เท่านั้น มิใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดังที่พล.อ.พนา เคยลงนามย้าย พล.ท.ณรงค์ สวนแก้ว เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ไปช่วยราชการที่บก.ทบ. จนกว่าผลการสอบสวนกรณีร้องเรียนว่าทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชาจะเป็นที่ยุติ
ความฝันเรื่องการเปลี่ยนม้ากลางศึก หรือเปลี่ยนแม่ทัพกุ้งนอกฤดูกาล จึงไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น นอกจากการสร้างกระแส ปั่นข่าว เพื่อหวังผลที่มีนัยยะ ทั้งทางการเมือง การทหาร และผลประโยชน์แฝงที่มากกว่านั้น
EP. ถัดไปจะขยายให้เห็นภาพสงครามข้อมูล ที่มีนัยยะต่อตัวละครแต่ละกลุ่ม ที่จะเป็น “Turning Point” และ “สงครามส่งด่วน” อย่างไรบ้าง