ในขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้อยู่เบื้องหลังการรวบรวมเสียงสส.หนุนรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร หรืออิ๊งค์ 1/2 ประกาศคำโตว่า มีเสียงในมือไม่น้อยกว่า 263 - 280 เสียง เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ไม่ใช่เสียงปริ่มน้ำ
แต่การจัดโผครม.อิ๊งค์ 1/2 กลับยังไม่นิ่ง พลิกกลับไปกลับมา ตามแรงเหวี่ยงของอำนาจต่อรองในแต่ละพรรค แม้แต่ในเพื่อไทยเอง กลุ่มสส.อาวุโสภาคอีสาน ต่างรุมทึ้งเก้าอี้ขอเป็นรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่งในชีวิตการเมือง
ประมาณว่า นี่คือรถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้ว จึงต้องออกแรงกันอย่างหนัก เนื่องจากสัมผัสที่หกมันบอกว่า เลือกตั้งครั้งหน้าต่อให้พาตัวเองฝ่าด่านเข้าสภามาได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงวันนั้น เพื่อไทยคงเป็นพรรคต่ำร้อย
ทำให้ตอนนี้ในเพื่อไทยจึงวิ่งกันฝุ่นตลบ
ด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ชื่อ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ทายาท "เจ๊แดง-เยาวภา" เจ้าแม่วังบัวบาน ที่เดิมจับจองเก้าอี้เสมา 1 ไว้ ต้องถอนตัวออกไปกลางคัน แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งคงไม่ใช่เพราะถนอมตัวไว้ลงสนามเที่ยวหน้าหรอก
ไหนจะพรรครวมไทยสร้างชาติอีก ที่ยังต้องดูแลไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมไปมากกว่านี้
เอาล่ะ มองข้ามชอตการจัดโผครม.เที่ยวนี้ไปก่อน เพราะช้าเร็วอย่างไรคงไม่เกินสัปดาห์หน้าต้องเรียบร้อย แต่ที่สำคัญคือ จะมีอายุขัยยาวนานขนาดไหน บ้างบอกอย่างเก่งอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ บางรายให้แค่งบประมาณปี 69 ผ่านสภา แถมด้วยแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปีเสร็จ
ขึ้นปีปฏิทินงบประมาณใหม่ วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ก็แยกย้ายกันไปลงสนามเลือกตั้ง
แต่กว่าจะไปถึงเดือนตุลาคม ครม.อิ๊งค์ 1/2 ยังต้องผ่านด่านสำคัญอย่างน้อยสองด่าน ซึ่งแต่ละด่านไม่รู้ว่านายกฯ อิ๊งค์ จะพาตัวเองผ่านไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะด่านแรก ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดประชุมปรึกษาคดีเป็นกรณีพิเศษ ในวันอังคารที่ 1 กรกฎาคมนี้
หากวันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ นำคำร้อง 36 สว.ที่ยื่นถอดถอนนายกฯ อิ๊งค์ เข้าสู่การพิจารณาและรับไว้พิจารณาวินิจฉัย พร้อมมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน นายกฯ อิ๊งค์ ก็ต้องถูกแช่แข็งเอาไว้ ซึ่งนาทีนั้นไม่รู้ครม.อิงค์ 1/2 จะอยู่ในขั้นตอนไหนหรือคลอดออกมาหรือยัง
นี่คือด่านแรก ที่จะทำให้รัฐนาวาอิงค์ 1/2 ได้ไปต่อหรือไม่และไปต่อแบบไหน?
ส่วนด่านที่สอง ปมถูกร้องโยกงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เรื่องนี้เหมือนจะต้องใช้เวลา แต่ฟังจากถ้อยแถลงของ สาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช.แล้ว น่าจะใช้เวลาไม่นานนัก เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนโดยเร็ว
ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการไต่สวนเหมือนกรณีอื่น โดย ป.ป.ช.จะมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการสอบสวนแทน
"กรณีดังกล่าวยังอยู่ในชั้นสอบสวน โดยจะพิจารณาทั้งกระบวนการโยกงบประมาณ และเนื้อหาของโครงการว่ามีลักษณะเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่" เลขาธิการป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ไว้ 25 มิ.ย.68
และกรณีนี้เมื่อถูกส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ กฎหมายกำหนดให้พิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว
เอาไปเอามา เรื่องหลังนี้อาจจะลัดคิวได้รับคำตอบก่อนเรื่องแรกด้วยซ้ำ หากความเห็น ป.ป.ช.ถูกส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญในเวลาอันใกล้นี้ เพราะตอนนี้อยู่ในชั้นการสอบสวนของเจ้าหน้าที่แล้ว
ไม่รู้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่หากออกมาเป็นลบจะถือเป็นการ "ล้างบางการเมือง" ครั้งใหญ่กันเลย เพราะไม่เพียงครม."เศรษฐา-แพทองธาร" ที่ต้องร่วมรับผิดชอบ แต่ยังรวมถึงสองสภาที่อนุมัติงบด้วย
งานนี้คงถูกกวาดไปพร้อมกัน ยกเว้นสส.และสว.ที่ไม่ได้ร่วมโหวตเห็นชอบด้วย ก็รอดตายหวุดหวิด
นี่คือการนับถอยหลังรัฐบาลแพทองธาร ที่ไม่ว่าจะมีเสียงสส.สนับสนุนมากน้อยขนาดไหน แต่จะถูกนิติสงครามและเสียงแห่งความชอบธรรมชี้ขาดว่าจะอยู่หรือไปตอนไหน?!