ขณะที่ครม.อิ๊งค์ 1/2 แพทองธาร ชินวัตร รัฐนาวายังไม่ได้ออกจากท่า อยู่ระหว่างเขียนคิ้ว ทาปาก จะวางใครไว้ตรงไหนบ้าง เพื่อเติมคนเข้าไปแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ 8 เก้าอี้ ซึ่งงานนี้จะให้จำกัดวงอยู่เฉพาะในส่วนที่ว่างเท่านั้น
ไม่ให้วุ่นวายขยายวงล้ำเแดนไปยังเก้าอี้ตัวอื่นที่ไม่เกี่ยว
ตัวอย่างเช่น พรรคชาติไทยพัฒนา ที่ได้เพิ่มมาหนึ่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วย ก็เข้าไปแทนโควตาเดิมของภูมิใจไทย ในกระทรวงศึกษาธิการ หรือแทนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขยับจากกระทรวงสาธารณสุข มาเป็นรมช.มหาดไทย เป็นต้น
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งเก้าอี้ของประชาธิปัตย์ ก็ต้องเข้ามาแทนที่ว่างอยู่เช่นกัน ซึ่งหากชาติไทยพัฒนาเอาตำแหน่ง รมช.สาธารณสุขไปแล้ว ก็จะเหลือ รมช.ศึกษาธิการ ซึ่งตรงนี้อาจเพิ่มภาระการตัดสินใจให้นายกฯ มากสักหน่อย
เพราะชื่อ ชัยชนะ เดชเดโช จากประชาธิปัตย์ ที่ตกเป็นข่าวบนหน้าสื่อถูกร้องทำร้ายร่างกายนักธุรกิจในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช อาจถูกตั้งคำถามจากสังคม หากต้องมานั่งในตำแหน่ง "คุณครูคนใหม่"
ครั้นจะให้สลับกับเก้าอี้ รมช.สาธารณสุข ที่บ้านใหญ่นครปฐม จากชาติไทยพัฒนาจองเอาไว้ ก็คงยากอีกเหมือนกัน เพราะอุตส่าห์หนีกระทรวงศึกษาธิการมา ไม่อยากอยู่ "อันเดอร์" ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ทายาทเจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งยังไม่มีพรรษาทางการเมืองมาก่อน
แต่ล่าสุดเห็นประชาธิปัตย์ จะเปลี่ยนเอา วุฒิพงษ์ นามบุตร สส.อุบลราชธานี เสียบแทนก็ว่ากันไป
ไม่นับการก่อหวอดของสส.เพื่อไทยภาคอีสาน หรือแม้แต่แรงกระเพื่อมในพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นาทีนี้เลิกล้มความคิดรวมกันสร้างชาติไปแล้ว ขอยึดเอาเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นสรณะ เรื่องอื่นพักไว้ก่อน
ในขณะที่การจัดครม.แบ่งเค้ก-แบ่งชามข้าวยังไม่ทันเสร็จ ไม่รู้วันเสาร์-อาทิตย์นี้หรือวันจันทร์หน้า จะนำรายชื่อครม.ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ทันหรือเปล่า
แต่พรรคภูมิใจไทย ที่เป็นฝ่ายค้านน้องใหม่ ไม่ยอมเสียเวลารอนาน มีมติยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะทันที ในการประชุมพรรคนัดแรกเมื่อวาน(24 มิ.ย.68) คงถือโอกาสฉลองครบ 93 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปด้วยเสียเลย
ภูมิใจไทยใช้ "ปมคลิปเสียง" มาเป็นประเด็นซักฟอกรัฐบาลอิงค์ 1/2 โดยไม่สนใจคำชี้แจงของแพทองธาร ที่มั่นอกมั่นใจว่าคลิปเสียงดังกล่าวตัวเองไม่ได้ผิด
"ก็จะเห็นได้ชัดว่าในคลิปเสียง ตัวดิฉันเองก็ไม่ได้อะไร และดิฉันเองก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหายอะไร"
แต่คำชี้แจงของแพทองธาร คงไม่ทัน เพราะพรรคภูมิใจไทยได้มีมติลงดาบไปแล้ว เหลือทางเดียวที่จะให้รอดจากการถูกซักฟอกได้ คือ ต้องไปล็อบบี้พรรคส้ม ไม่ให้ร่วมลงชื่อเสนอญัตติด้วย
เพราะลำพัง 69 เสียงของภูมิใจไทย ไม่พอที่จะยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 กำหนดให้สส.เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ซึ่งปัจจุบันมีสส.ปฏิบัติหน้าที่อยู่ 495 คน ดังนั้น ต้องใช้เสียงสส.อย่างน้อย 99 คน
ภูมิใจไทย ต้องไปหามาเพิ่มอีก 30 คน ถึงจะยื่นซักฟอกรัฐบาลได้
ดังนั้น การออกตัวแรงของพรรคภูมิใจไทยครั้งนี้ เสมือนขอเป็นเจ้าภาพเอง โดยเชิญชวนให้พรรคฝ่ายค้านทั้งพรรคประชาชน พรรคพลังประชารัฐ พรรคเป็นธรรม และพรรคไทยสร้างไทย มาร่วมกันทอดกฐิน ผ้าป่าด้วยกัน โดยที่ยังไม่ได้พูดคุยกับไหน
"เราขอใช้คำว่า เราเชิญชวนพรรคฝ่ายค้านทุกพรรค ซึ่งคาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้าจะได้พูดคุยในประเด็นนี้" น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคภูมิใจไทย ตอบคำถามนักข่าวเอาไว้
ไม่รู้ว่าเจตนาพรรคภูมิใจไทย ต้องการจะยื่นซักฟอกรัฐบาลจริง ๆ หรือแค่หวังผลทางการเมือง ต้องการให้เป็นข่าวเท่านั้น เพราะการเป็นฝ่ายค้านน้องใหม่ แม้จะมีเสียงมากเป็นอันดับสองก็จริง แต่การออกตัวล้อฟรีไปก่อนแบบนี้ ไม่รู้จะเป็นการข้ามหน้าข้ามตา พรรคที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ อยู่หรือไม่
หรือถ้าไม่ง้อเสียงพรรคส้ม ลำพังจะไปรวบรวมเสียงจากพรรคเล็กที่เหลือก็มีไม่ถึง 30 เสียง
สรุปการออกตัวแรงโดยไม่สนใจเจ้าถิ่นของภูมิใจไทยหนนี้ น่าจะเป็นการประเดิมบทบาทฝ่ายค้านผสมแรงแค้น ขอเป็นข่าวไว้ก่อน มากกว่าต้องการอภิปรายไม่ไว้วางใจจริงๆ
