ทำเอาสับสนกันพอประมาณ เรื่องจ่าย ไม่จ่ายเงิน จำนวน 10,028 ล้านบาท คดีโกงจำนำข้าวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ
เอาเป็นว่า สับสนตั้งแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำตัดสินในวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาแล้ว
นักการเมืองทั้งแดง-ส้ม ต่างส่งเสียงโอดครวญ ต่อจากนี้จะไม่มีพรรคการเมืองไหนกล้าออกนโยบายดี ๆ มาช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติได้อีก เพราะกลัวจะมีความผิด
บางรายไปไกลถึงขั้นเปรียบตำแหน่งนายกฯ ต่อจากนี้จะไม่ต่างอะไรกับ "ปลัดประเทศ" เท่านั้น
ดูเป็นการเปรียบเทียบที่เกินเลยไปเยอะมาก เพราะในคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้ห้ามเรื่องการออกนโยบายจำนำข้าวสักหน่อย โดยฝ่ายการเมืองสามารถทำได้ตามที่แถลงต่อสภาเอาไว้นั่นแหล่ะ
เพียงแต่ในขั้นตอนการนำนโยบายไปปฏิบัติ เมื่อมีปัญหาทุจริตเกิดขึ้นต้องรับผิดชอบในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ ฐานละเว้น ละเลย เพิกเฉย ประมาทเงินเล่ออย่างร้ายแรง จนเกิดความเสียหายขึ้น จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมจำนวนดังกล่าว
ชัดเจนว่าพรรคการเมืองยังออกนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ตามปกติ แต่อย่าโกงหรือปล่อยให้มีการทุจริตจนเกิดความเสียหายแก่รัฐเท่านั้นเอง
ส่วนประเด็นจะอาศัย มาตรา 75 พ.ร.บ.การจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา พ.ศ.2542 ขึ้นมาโต้แย้งอย่างไร ก็ถือเป็นสิทธิตามที่กฎหมายเปิดช่องให้ ไม่ว่าจะเป็นการหักกลบลบหนี้จากยอดการขายข้าวใหม่ ข้าวเก่าอีท่าไหนก็ว่าไป
สุดท้ายอยู่ที่ศาลท่านจะพิจารณา
แต่ดูจะยังสับสนกันต่อไม่หาย หลังสำนักงานศาลปกครอง ออกเอกสารชี้แจงเป็นข้อ ๆ พร้อมยกกฎหมายแต่ละมาตรามาประกอบ ก็ยังมีคำถามอยู่ว่า ตกลง "ยิ่งลักษณ์" ต้องชดใช้เงิน จำนวน 10,028 ล้านบาทหรือไม่
เรื่องของเรื่องเพราะไปจับประเด็น ตรงท่อนที่สำนักงานศาลปกครองบอกว่า "โดยศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีคำพิพากษาและออกคำบังคับให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าแต่อย่างใด"
จึงไปทึกทักสรุปเอาเองว่า ศาลไม่ได้ตัดสินว่าต้องจ่าย
แต่ถ้าย้อนขึ้นไปดูคำชี้แจงในตอนต้นจะเห็นได้ว่า คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่ให้ยิ่งลักษณ์จ่าย 3.5 หมื่นล้านบาทนั้น กระทรวงการคลัง สามารถทำตามคำสั่งได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล
ก่อนหน้านั้น ก็ได้ยึดอายัดขายทอดตลาดไปแล้วบางส่วน เป็นเงินราว 57 ล้านบาท
เมื่อผู้ร้อง คือ ยิ่งลักษณ์ เห็นว่าเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมายื่นฟ้องศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นคดีพิพาททางปกครองที่อยู่ในอำนาจ และมีอำนาจเพียงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน โดยไม่มีอำนาจพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ย้ำว่า มีอำนาจพิพากษาเพิกถอนคำสั่งทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งคำตอบจะอยู่ในท่อนที่ว่า
"ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า คำสั่งพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายบางส่วน จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งพิพาท เฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท"
นั่นคือ ให้เพิกถอนเฉพาะในส่วนที่เกิน แต่ในส่วน 10,028 ล้านบาท ยังต้องจ่ายตามคำสั่งของกระทรวงการคลัง
เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ ส่วนจะดำเนินการกันอย่างไรต่อ ก็อยู่ที่กระทรวงการคลัง เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการยึดอายัดทรัพย์ และขายทอดตลาดไปบ้างแล้ว จำนวน 57 ล้านบาท แต่หลังศาลปกครองกลาง ตัดสินให้ยิ่งลักษณ์ชนะคดี จึงได้ยุติการดำเนินการใด ๆ ในระหว่างการอุทธรณ์คดี
คงต้องรอให้พ้นเวลา 90 วันไปก่อนว่า ศาลจะอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่อีกหรือไม่ ถ้าศาลท่านไม่อนุญาต ก็ถือว่าทุกอย่างจบ ต้องเดินหน้ายึดทรัพย์ตามจำนวนเงินที่ให้ชดใช้หรือเท่าที่มี
ส่วนยิ่งลักษณ์ จะใช้วิธีเดียวกับพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งยึดทรัพย์ จำนวน 47,373 ล้านบาท ไปตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ป่านนี้ไม่รู้ยึดกันไปถึงไหนแล้ว
ก็ว่ากันไปตามสะดวก
แต่กระทรวงการคลัง อาจจะเสี่ยงหน่อย ถ้ามีคนไปยื่นร้องแบบทบต้นทบดอกเอาผิดมาตรา 157 ทีเดียวพร้อมกัน ก็ไปวัดดวงกันเอาตอนแก่ชราว่าชะตากรรมจะเป็นอย่างไร