จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมี สส.ของพรรคต่างๆ และภาคประชาชนเสนอรวม 5 ฉบับ โดยบางช่วงบางตอนระบุว่า “จุดยืนของผมและพรรคประชาธิปัตย์ต่อการนิรโทษกรรม คือ เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำความผิดโดยทั่วไป เช่น การเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญวิถีประชาธิปไตย และไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 110 และมาตรา 112 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อพระราชินี ต่อองค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมถึงการนิรโทษกรรมในคดีอาญาร้ายแรง เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา”
ความจริงประเทศไทยเคยมีการนิรโทษกรรมมาแล้วหลายครั้ง คดีส่วนใหญ่เป็นทางการเมือง และครั้งที่ใหญ่คือการออกคำสั่งที่ 66/23 ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดในคดี 6 ตุลา 19 ซึ่งมีการนิรโทษกรรมในปี 2521 ใน 2 ปีต่อมา แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่เรามีการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น และการกระทำความผิดจากมาตรา 112
จุรินทร์ ระบุว่า “สำหรับกรณีการกระทำความผิดในคดีคอร์รัปชั่น ที่เป็นมะเร็งร้ายต่อประเทศ ความจริงได้มีความพยายามที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมการกระทำความผิดฐานทุจริตประพฤติมิชอบมาแล้วครั้งหนึ่ง ในปี 2556 คือการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย เนื้อหาสำคัญคือการนิรโทษกรรมคดีการกระทำความผิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่สุดท้ายไปต่อไม่ได้และกลายเป็นมูลเหตุหนึ่งของการยึดอำนาจเวลาต่อมา ฉะนั้นการนิรโทษกรรมในคดีทุจริตประพฤติมิชอบจึงกลายเป็นของแสลงสำหรับสังคมไทย และถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญที่สะท้อนว่าประเทศไทยไม่ต้องการเห็นการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น”
สำหรับการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 112 นั้น ได้มีการพยายามมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ถ้าเราตั้งเป้าหมายว่าจะนิรโทษกรรมเพื่อสร้างสังคมสันติสุข สร้างสังคมปรองดอง อันนี้เป็นดาบสองคม เพราะอีกคมหนึ่งแทนที่จะสร้างสังคมปรองดอง อาจจะนำไปสู่ความแตกแยกของสังคมครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้
จุรินทร์ ชี้ให้เห็นว่า ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราไม่เคยมีการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 110 และมาตรา 112 มาก่อน และล่าสุดในสภาฯ เราเพิ่งจะมีการพิจารณาผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาแนวทางการนิรโทษกรรม ซึ่ง กมธ.ฯ ชุดนี้นำมาขอความเห็นต่อที่ประชุมใหญ่ และได้เสนอ 3 ทางเลือกต่อการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 110 และมาตรา 112 คือ
1. ไม่มีการนิรโทษกรรม
2. นิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข
3. นิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไข
ทั้งนี้ เกรงว่าหากผลการศึกษาของ กมธ.ฯ เป็นเช่นนี้ และสภาฯ ลงมติเห็นชอบ ก็อาจจะถูกนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการนำไปสู่การนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 110 และ 112 ในอนาคตได้ แต่สุดท้ายสภาฯ ลงมติไม่เห็นชอบกับผลการศึกษา รวมทั้งข้อสังเกตซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ สะท้อนว่าสภาฯ นี้ก็เคยมีความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม นอกจากคดีทุจริตแล้ว ก็เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 110 และมาตรา 112 ด้วย
วันนี้มีการเสนอร่างที่คล้ายกัน 5 ฉบับ เนื้อหาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. ไม่นิรโทษกรรมคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่นิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 112 ไม่นิรโทษกรรมการกระทำความผิดอาญาร้ายแรง และกลุ่มที่ 2 คือ เนื้อหาแตกต่างกันในประเด็นสำคัญกับกลุ่มที่ 1
จุดยืนของผมและพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันใน 2 ข้อ คือ สนับสนุนการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดในคดีการเมืองทั่วไป และไม่สนับสนุนการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามมาตรา 110 และ 112 การกระทำความผิดฐานทุจริตและประพฤติมิชอบ และการกระทำความผิดในคดีอาญาร้ายแรง หากร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 5 ฉบับ ฉบับใดเข้าข่ายกรณีที่ผมได้กล่าวไป ผมและพรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้การสนับสนุน