ผ่านไปอย่างคล้ายจะเรียบร้อย สำหรับการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา Joint Boundary Commission หรือ JBC ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ
ครั้งต่อไป ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนกันยายน 2568 ส่วนสถานที่ฝ่ายไทยจะต้องมากำหนดกันอีกครั้งว่า จะประชุมที่กรุงเทพ หรือ ประชุมที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง โดยการประชุมครั้งหน้า ทั้ง 2 ประเทศ ตกลงจะจัดประชุมเป็นสมัยพิเศษ
สาระของการประชุม ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็แถลงเนื้อหาสาระของข้อตกลงกลางที่เห็นตรงกัน และต่างฝ่ายต่างก็มีบันทึกแสดงความเห็นแนบของแต่ละฝ่าย ที่ต่างก็สงวนท่าที เพื่อชิงความได้เปรียบ สำหรับการประชุมครั้งต่อไป หรือ กรณีที่อาจจะต้องไปเผชิญหน้ากันในเวทีเป็นกลาง โดยเฉพาะกัมพูชา ที่ได้ส่งประเด็นข้อพิพาทในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตและพื้นที่สามปราสาท เข้าสู่การพิจารณาของ ศาลโลก หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ : International Court Of Justice) แล้ว
การประชุม JBC รอบนี้ ต่างไปจากการประชุมครั้งก่อนๆ เพราะบรรยากาศเต็มไปด้วยการตึงเครียด ระแวดระวัง แม้กระทั่งการแถลงข่าว ทุกถ้อยคำที่แถลงจะถูกเรียบเรียง กลั่นกรอง แทบจะขีดเส้นใต้กันทุกคำพูด
ต่างจากการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมา ที่มีบรรยากาศค่อนข้างจะผ่อนคลาย ทั้งสองฝ่ายแม้จะสงวนวาจา และท่าทีในการประชุม แต่บรรยากาศก่อน และหลังประชุมมักจะเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเป็นมิตร
ฝ่ายความมั่นคงของไทยที่เข้าร่วมประชุมด้วย เล่าให้ฟังว่า ฝ่ายไทยทำการบ้านมาอย่างรัดกุม และแย้งในประเด็นที่ไม่ยอมรับ โดยเฉพาะประเด็น แผนที่ 1 : 200,000
ส่วนฝ่ายกัมพูชา ก็ชัดเจนว่า ไม่หยิบยกประเด็นสามเหลี่ยมมรกต และพื้นที่สามปราสาท เข้าไปเป็นวาระการประชุมตั้งแต่ต้น
ในที่ประชุม เป็นการพูดคุยเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดน และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยสนับสนุน ส่วนเรื่องการถอย หรือการปรับกำลังทหาร ฝ่ายกัมพูชา ยืนยันว่า ต้องรอความชัดเจนจาก สมเด็จ ฮุน เซน เท่านั้น ตัวแทนที่เข้าร่วมประชุม ไม่มีอำนาจพิจารณา หรือให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังการประชุม ขณะที่รายละเอียดข้อตกลง ยังยกร่างไม่แล้วเสร็จ ฝ่ายกัมพูชาก็ชิงแถลงและเน้นเนื้อหาที่อยากจะสื่อสารกับสื่อของทั้งสองประเทศก่อน โดยเน้นประเด็นแผนที่ 1 : 200,000 เพราะฝ่ายกัมพูชา รู้ดีว่า เป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับฝ่ายไทย ทั้งที่ในการประชุม ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะนำเทคโนโลยีการใช้โดรนบินถ่ายภาพทางอากาศ สร้าง Photo Map โดยใช้ระบบเรด้าสแกน ( LiDAR Scan : Light Detection And Ranging) มาใช้ในการทำแผนที่ และแผนที่ที่ทำออกมา ก็น่าจะเป็น 1 : 50,000 ไม่ใช่ 1 : 200,000
กัมพูชารู้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่า ไทยไม่ได้ยอมรับแผนที่ 1: 200,000 แต่การออกมาลักไก่แถลงประเด็นนี้ก่อน หากไทยตามไม่ทัน หรือหลงเหลี่ยม ไม่ปฏิเสธ หรือ ไม่หยิบยกขึ้นมาเป็นเนื้อหาในถ้อยแถลง กัมพูชา ก็จะฉวยโอกาสบรรจุประเด็นนี้เข้าไปเป็นหลักฐานในศาลโลกทันที
ส่วนไทย อาจจะถูกกล่าวจากรอบด้านว่า เชื่องช้า ปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชา ชิงแถลงก่อนเกือบครึ่งวัน ถึงจะแถลงเป็นเอกสารออกมาในเวลาเกือบเที่ยงคืน และมาแถลงซ้ำอีกครั้งในบ่ายวันที่ 16 มิถุนายน
แต่เมื่อแถลงออกมา ครบทั้งเอกสาร และการแถลงสดซ้ำอีกครั้ง กลับรับคำชมจากหลายฝ่ายว่า เป็นถ้อยแถลงที่รัดกุม มีการใช้ภาษาทางการทูตที่สละสลวย มีการขีดเส้นใต้สำหรับความเห็นที่จะทำให้ได้เปรียบ และโต้แย้งในประเด็นที่ไม่ยอมรับ
ทั้งหมดเป็นบทสรุปที่สามารถหาอ่านรายละเอียดเพิ่มได้ จากแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศไทยซึ่งยังไม่มีกรอบเวลาว่า จะได้ข้อยุติเมื่อไหร่
แต่ทั้งหลาย ทั้งปวง สิ่งที่เห็นจากบทสรุปการประชุมครั้งนี้ คือ พ่อ-ลูกตระกูลฮุน สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต ยังคงยืนหยัดในเข็มมุ่งที่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ต้น คือ นำเรื่องพื้นที่พิพาททั้ง 2 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก
พร้อมทั้งเตรียมเล่นเกมยาว รองรับการพิจารณาของศาลโลก แม้สถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา จะอยู่ในภาวะที่พร้อมจะแตกหัก และประชาชนกัมพูชาอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดด่านของไทย
โดยเฉพาะมาตรการ 6 ข้อที่สมเด็จฮุน เซน โพสต์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง ยิ่งย้ำชัดว่า กัมพูชาพร้อมเล่นเกมยาว และพร้อมรับผลกระทบที่จะต้องเผชิญ!
ทั้ง 6 มาตรการ ที่ ‘ตระกูลฮุน’ ผู้พ่อ ระบุ จะเกิดขึ้นทันที หากฝ่ายไทยปฏิเสธที่จะเปิดจุดผ่านแดนภายใต้สถานการณ์ปกติ ประกอบด้วย
1. หยุดการนำเข้าและการใช้สินค้าจากประเทศไทย โดยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นและการนำเข้าจากประเทศอื่นเป็นทางเลือก
2. สนับสนุนเกษตรกรชาวกัมพูชา โดยการซื้อสินค้าเกษตรที่ขายมายังประเทศไทยและค้นหาตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
3. ส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลในพื้นที่หรือต่างประเทศแทนการเข้ารับการรักษาในประเทศไทย
4. เตรียมความพร้อมรับแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับจากประเทศไทย โดยสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และก่อสร้าง
5. เตรียมกำลังทหารให้เข้มแข็งเพื่อป้องกันประเทศและรับมือกับการรุกรานใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น
6. เตรียมความพร้อมการอพยพประชาชนจากพื้นที่ชายแดนไปยังสถานที่ปลอดภัย รวมถึงการเตรียมอาหาร ยา และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ
แถลงการณ์ฉบับนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ และความคร่ำหวอดเกมการเมืองระหว่างประเทศของ ฮุน เซน ที่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี
6 มาตรการที่ ฮุน เซน ระบุ 4 ข้อแรก เป็น 4 ข้อ ที่กัมพูชาพึ่งพาไทยมาโดยตลอด ส่วนข้อ 5 เป็นมาตรการที่เป็นโอกาสของการสะสมอาวุธ และการเพิ่มกำลังพล อันหมายถึงงบประมาณการจัดซื้ออาวุธ และโอกาสการขอสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ ครูฝึกการทหารจากมหามิตร ที่ไม่แน่ชัดว่า จะหมายถึง จีน รัสเซีย หรือแม้แต่เวียดนาม
ทั้ง 5 ข้อ คือ การวางแผนเล่นเกมยาว และวางแผนในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศใหม่ โดยลดการพึ่งพาประเทศไทย
ถามว่า แล้ว กัมพูชาจะรับมือไหวหรือไม่ กรณีลดการนำเข้าสินค้าอุบโภค บริโภคจากไทย
ถามว่า กัมพูชาพร้อมแล้วหรือ ต่อการรองรับแรงงานนับแสนคน ที่จะหลั่งไหลกลับประเทศ
ถามว่า กัมพูชามีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศแล้วหรือ
คำตอบ คือ ถ้าไทยยังมองภาพกัมพูชาในแบบเดิมๆ ถ้าไทยยังไม่ปรับไปมองภาพกัมพูชาตามภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป
คำตอบ คือ กัมพูชา ไม่มีทางที่จะยืนอยู่ได้ หากลดการพึ่งพาไทย ทั้งสินค้าอุบโภค บริโภค สินค้าการเกษตร ยุทธปัจจัย ทั้งน้ำมัน และอุปกรณ์ก่อสร้าง รวมถึงแรงงานที่จะตกงาน และขาดไร้รายได้จำนวนมหาศาล ไม่นับรวมระบบสาธารณสุขทั้งตามแนวตะเข็บชายแดน และชนชั้นสูง ที่วันนี้ยังคงเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทย
แต่หากมองมุมกลับ มองตามภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคที่เปลี่ยนไป…
ถามว่า ใครได้รับผลกระทบมากกว่ากันระหว่างไทยและกัมพูชา
วันนี้เรามีมูลค่าการค้าชายแดนกับกัมพูชา 5 ปี ที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่าปีละเกือบ 2 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น
เฉพาะในปี 2567 กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีมูลค่ารวม 175,530 ล้านบาท แบ่งเป็นเราส่งออกไปกัมพูชา มูลค่า 141,846 ล้านบาท และนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา เพียง 32,684 ล้านบาทปี 2567 ปีเดียว เราได้ดุลการค้าจากกัมพูชาถึง 109,163 ล้านบาท
สินค้าที่เราส่งออกส่วนใหญ่ คือ สินค้าประเภทเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง ที่เฉพาะคาราบาวแดงรายเดียว ยอดขาย 37% จากยอดขายทั้งหมด เป็นการส่งออกไปยังกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 21 % จากรายได้ทั้งหมดของบริษัท
นอกจากนั้นก็เป็นสินค้าประเภทส่วนประกอบรถยนต์/จักรยานยนต์, เครื่องยนต์ และเครื่องจักรกลเกษตร ที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด
ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น มันสำปะหลัง, เศษโลหะ (อลูมิเนียม , ทองแดง), ลวดสายไฟ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ สำหรับอุตสาหกรรมในประเทศ เช่น อาหารสัตว์ รีไซเคิล และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
คำถามต่อมา คือ หากเราปิดด่าน หรือ กัมพูชาปิดด่าน และลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากเรา กัมพูชาจะทดแทนการนำเข้าสินค้าจากไทยได้อย่างไร
คำตอบ คือ เส้นทางการคมนาคมระหว่างกัมพูชา-เวียดนาม และกัมพูชา-ลาว ซึ่งกำลังพัฒนาเป็นเส้นทางการคมนาคมที่สะดวกขึ้น ขณะที่จีนมีชายแดนติดต่อกับทั้งเวียดนามและลาว เป็นคำตอบว่า สินค้าเหล่านี้จะมาจากไหน
ส่วนยุทธปัจจัยสำคัญอย่างน้ำมัน ที่วันนี้กัมพูชาพึ่งพิงเส้นทางขนส่งน้ำมันจากประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ กัมพูชายังมีทางออกจากการขนส่งน้ำมันทางทะเลและผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างรัสเซีย ที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับกัมพูชามาโดยตลอด
ส่วนคำถามเรื่องแรงงานนับแสนคน จะทำอย่างไร หากกัมพูชาจะรับแรงงานกัมพูชากลับทั้งหมด
คำตอบ คือ กัมพูชากำลังเร่งเมกะโปรเจกต์คลองฟูนันเตโช และโครงการความร่วมมือในการสร้างฐานทัพ ระหว่างมหาอำนาจจีน หรือรัสเซีย

อย่าลืมว่า ฝั่งทะเลอันดามัน รัสเซียเข้าไปเช่าโปรเจกต์ทวายจากเมียนมา แน่นอนว่า ในโปรเจกต์ทวาย มีโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และเชื่อว่า รัสเซียจะต้องขอที่ตั้งฐานทัพ เพื่อรองรับการปกป้องผลประโยชน์ของรัสเซียในพื้นที่ทวาย
ส่วนกัมพูชา จะเป็นทะเลด้านอ่าวไทย ที่เชื่อมต่อกับ มหาสมุทรแปซิฟิก ที่หากการขุดคลองฟูนันเตโช ที่มีความยาว 180 กิโลเมตร ประสบความสำเร็จ รัสเซียหรือจีน ก็สามารถเข้าไปใช้ฐานทัพเรือเรียมของกัมพูชา เป็นฐานที่มั่นในฝั่งทะเลแปซิฟิค ได้ทันที
ฮุน มาเนต เคยให้สัมภาษณ์สื่อกัมพูชาว่า โครงการคลองฟูนันเตโช จะก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 1,600,000 อัตราตลอดแนว 180 กิโลเมตรของคลอง
แม้จะมีเสียงโต้แย้งว่า โครงการคลองฟูนันเตโช อาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ ‘พ่อ-ลูกตระกูลฮุน’ หวังไว้
แต่คำตอบคือ แล้วหากสำเร็จ…ไทยเตรียมมาตรการรองรับการขาดหายไปของแรงงานนับแสนนี้แล้วหรือยัง
ฮุนเซนยังเน้นย้ำถ้อยคำในแถลงการณ์ดังกล่าวว่า “มาตรการเฉพาะ 6 ประการเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ฝ่ายไทยปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียว”
ซึ่งนั่น คือ นัยยะสำคัญ และถ้อยคำสำคัญ ที่กัมพูชา เตรียมไว้ สำหรับการต่อสู้คดีในศาลโลก หรือ ในเวทีนานาชาติ
ไทยปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียว คือ การกระทำต่อกัมพูชา ประเทศที่เล็กกว่าและต้องพึ่งพาการนำเข้าจการประเทศไทย
ทั้งหมด คือ การบ้านที่สองพ่อลูกเตรียมการมาเป็นอย่างดีและมีการวางแผนล่วงหน้ามานาน นับจากวันที่กัมพูชา โดยเฉพาะ ฮุน มาเนต พ่ายแพ้ไทยยับเยินในศึกพระวิหาร
เข็มมุ่งของกัมพูชาวันนี้ คือ การเดินสู่เวทีนานาชาติ และการปลดแอกการพึ่งพาจากไทย
ขณะที่ไทย 14 ปีที่ผ่านมา ได้ทำการบ้าน หรือเตรียมการรับมืออะไรไว้บ้างหรือยัง…?
ไทยยังคงมองกัมพูชาในบริบทเดิม หรือ มีการประเมินกัมพูชาใหม่หรือยัง…?
ขณะที่กัมพูชา จับมือเป็นหนึ่งเดียว…ไทยยังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
การเมืองกัมพูชา เป็นหนึ่งเดียว แม้ถูกมองว่าเผด็จการ
ส่วนการเมืองไทย ต่างคนต่างเดิน หรือไม่…
สื่อกัมพูชา…เดินหน้าเพื่อผลประโยชน์ประเทศ
สื่อไทย…ยังยึดมั่นแค่เพียงสร้างยอด engagementหรือไม่
EP.ถัดไป…จะชำแหละให้เห็นอย่างละเอียด