ในช่วง 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง โดนัลด์ ทรัมป์ได้เดินหน้านโยบาย ‘America First’ อย่างเข้มข้น ส่งผลให้ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจโลกปั่นป่วน สหรัฐฯ ใช้มาตรการใหญ่ในด้านเศรษฐกิจ การเมืองภายใน การค้าระหว่างประเทศ นโยบายภาษี และการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งหลายอย่างต่อยอดจากสมัยแรก ขณะที่ประเทศไทยซึ่งเชื่อมโยงกับทั้งสหรัฐฯ และจีนได้รับแรงสั่นสะเทือนทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
นโยบายเศรษฐกิจและภาษี
ทรัมป์เริ่มต้นสมัยที่สองด้วยการถอนตัวจากความตกลงปารีสทันทีในวันรับตำแหน่ง พร้อมเพิกถอนมาตรการสู้โลกร้อนยุคไบเดน และประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อเร่งการผลิตพลังงานในประเทศ
ด้านงบประมาณและภาษี ทรัมป์ เสนอร่างงบประมาณปี 2026 ที่เน้นเพิ่มงบกลาโหมและความมั่นคงชายแดน ควบคู่กับการลดงบหน่วยงานพลเรือน รัฐสภาซึ่งพรรครีพับลิกันคุมเสียงข้างมากผลักดันวาระขยายลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์สมัยแรกให้เป็นการถาวร รวมถึงข้อเสนอภาษีใหม่ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 150,000 เหรียญต่อปี
มาตรการภาษีต่อสินค้านำเข้า (Trade Tariffs) คือหนึ่งในนโยบายที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากที่สุด ทรัมป์ประกาศเก็บ ‘ภาษีนำเข้าขั้นต่ำ’ 10% กับสินค้าจากทุกประเทศ (ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโกในระยะแรก) พร้อมขู่เก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% สำหรับบางประเทศ มาตรการเหล่านี้ถือเป็นการปิดฉากยุคการค้าเสรีที่สหรัฐฯ เคยเป็นผู้นำ
นโยบายการเมืองและการบริหารภาครัฐ
ทรัมป์ ใช้ช่วงแรกของการบริหารสมัยใหม่ในการปรับโครงสร้างอำนาจในรัฐบาลกลาง โดยฟื้นคืนระเบียบ ‘Schedule F’ ซึ่งช่วยให้ปลดข้าราชการประจำตำแหน่งนโยบายได้ง่ายขึ้น พร้อมออกคำสั่งให้หน่วยงานทุกแห่ง ‘ปรับลดกำลังคนครั้งใหญ่’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังลดอำนาจต่อรองของสหภาพข้าราชการโดยออกคำสั่งห้ามหน่วยงานรัฐบาลปฏิบัติตามข้อตกลงสหภาพที่ทำไว้ในช่วง 30 วันก่อนเข้ารับตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องจากสหภาพแรงงานภาครัฐและกลุ่มพิทักษ์สิทธิเจ้าหน้าที่รัฐหลายคดี
นโยบายการค้าระหว่างประเทศ
สงครามการค้าได้หวนคืนสู่เวทีโลกอย่างเข้มข้น เมื่อทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 เม.ย. 2025 ด้วยมาตรการ ‘ภาษีตอบโต้’(Reciprocal Tariffs) ซึ่งกำหนด ‘ภาษีพื้นฐาน’ 10% และเพิ่มเติม ‘ภาษีตอบโต้รายประเทศ’ สำหรับ 90 ประเทศ โดยมีอัตราเพิ่มตั้งแต่ 11% ถึง 50%
ประเทศในเอเชียที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยไทยต้องเจอภาษีนำเข้ารวมใหม่ถึง 36% ขณะที่เวียดนามถูกเก็บ 46% กัมพูชา 49% และไต้หวัน 32%
จีนตอบโต้ทันทีด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 34% และจำกัดการส่งออกแร่หายาก ส่วนสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นเลือกใช้วิธีเจรจาต่อรอง
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 10 เมษายน ทรัมป์ได้ประกาศชะลอการขึ้นภาษีกับประเทศส่วนใหญ่ไว้ 90 วัน โดยเก็บเพียงภาษีพื้นฐาน 10% ในช่วงเวลาผ่อนผัน แต่ยังคงขึ้นภาษีจีนเป็น 125% ทันที
นโยบายการย้ายถิ่นฐานและความมั่นคงชายแดน
หนึ่งในวาระเร่งด่วนที่สุดของ ทรัมป์ คือการกวดขันการเข้าเมืองและความมั่นคงชายแดน โดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติที่ชายแดนใต้ทันทีหลังสาบานตน และระงับการเข้าเมืองผ่านชายแดนใต้ทั้งหมด รวมถึงระงับสิทธิขอลี้ภัย
ทรัมป์ ยังได้ลงนามคำสั่ง ‘Securing Our Borders’ เพื่อกำหนดมาตรการจัดการผู้อพยพผิดกฎหมาย รวมถึงการสร้างกำแพงชายแดนเพิ่มเติม การยุติ ‘จับแล้วปล่อย’ การรื้อฟื้นโครงการ ‘อยู่เม็กซิโก’ และการเพิ่มการใช้เทคโนโลยีระบุตัวบุคคล
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ระงับการรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศชั่วคราว ยกเลิกสถานะคุ้มครองชั่วคราว (TPS) ของผู้อพยพหลายกลุ่ม และพยายามยุติหลักสิทธิพลเมืองโดยการเกิด แม้จะถูกท้าทายทางกฎหมายก็ตาม
ไทยก็ไม่พ้น…ท่าทีของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายมิติ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
1\. การส่งออกไทย สินค้าจากไทยต้องเผชิญ ‘ภาษีทรัมป์’ รวมประมาณ 36% ส่งผลกระทบต่อสินค้าหลัก เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างไรก็ดี การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีนสูงถึง 100% ในบางสินค้า ทำให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หันมาหาซื้อจากไทยแทนจีนมากขึ้น
2\. เงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้าย ความผันผวนในตลาดการเงินทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 5% ภายในสิ้นไตรมาส 1/2568 ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบภาษีบางส่วน ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายสุทธิจากต่างชาติ
3.การลงทุนโดยตรง (FDI) บริษัทข้ามชาติบางส่วนอาจเร่งย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาไทยเพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ ก็อาจทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจ
4.ภาคการท่องเที่ยว ผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าและเศรษฐกิจจีนชะลอตัวส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลงอย่างน่าตกใจ
5.ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อต้นทุนสินค้านำเข้าหลายประเภทในไทยสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน การที่ทรัมป์เพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลในสหรัฐฯ ทำให้ราคาน้ำมันโลกช่วงต้นปีทรงตัวหรือลดลงบ้าง
ผลกระทบทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
1.ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯรัฐบาลไทย ต้องเร่งเจรจาแก้ไขปัญหาภาษีนำเข้า 36% ที่ไทยถูกเก็บ ขณะที่ภายใต้ยุคทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับหลักประชาธิปไตยน้อยลง ซึ่งลดแรงกดดันต่อไทยเรื่องการเมืองภายใน
2.ความสัมพันธ์ไทย-จีน ไทยต้องระมัดระวังการทรงตัวทางการทูตอย่างยิ่ง จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอาจเป็นสัญญาณเตือนจากจีนไม่ให้ไทยใกล้ชิดสหรัฐฯ มากเกินไป
3.บทบาทอาเซียนและภูมิภาค นโยบายต่างประเทศของทรัมป์เน้นทวิภาคีมากกว่าพหุภาคี ส่งผลให้บทบาทอาเซียนในสายตาสหรัฐฯ ลดลง ไทยในฐานะพันธมิตรดั้งเดิมอาจถูกคาดหวังให้เป็นตัวแทนในบางเรื่อง
4\. ความมั่นคงและการทหาร ทรัมป์ส่งสัญญาณผ่านช่องทางการทูตว่าต้องการให้ไทยจัดซื้อยุทโธปกรณ์สหรัฐฯ เพิ่มเพื่อเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคง
5\. เวทีพหุภาคีและกฎระเบียบโลกการถอนตัวของสหรัฐฯ จากความตกลงปารีสและการไม่ให้ความสำคัญกับ WTO ส่งผลกระทบต่อไทยในฐานะประเทศที่สนับสนุนระบบพหุภาคี
100 วันแรกของ ‘ทรัมป์’ ในสมัยที่สอง ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการหวนคืนของ ‘America First’ อย่างเข้มข้น ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อไทย ในวิกฤตนี้ ไทยจำเป็นต้องรับมืออย่างชาญฉลาด ทั้งการเจรจาต่อรอง การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจไปยังตลาดอื่น และการรักษาสมดุลทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และจีน
คลื่นลมการเมืองโลกในยุค ‘ทรัมป์ 2.0’ อาจปั่นป่วน แต่ก็เปิดโอกาสให้ประเทศขนาดกลางอย่างไทยได้พิสูจน์ความสามารถในการปรับตัวและเติบโตท่ามกลางความท้าทาย
Photo by SAUL LOEB / AFP