วันนี้ (27 พฤษภาคม 2568) ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งปัจจุบันผันตัวเป็น CEO บริษัทโซลาร์ชั้นนำ ได้โพสต์เฟสบุ๊คเพจ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส - Treerat Sirichantaropas และแพลตฟอร์มเอ๊กซ์ (X) ส่วนตัว ถึงร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ.... โดยกระทรวงพลังงาน โดยมีเนื้อหาว่า
ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์เซลส์ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน หรือเพื่อผลประโยชน์รมว.พลังงานและพวกพ้องกันแน่? ในขณะที่การเมืองกำลังชุลมุน และเศรษฐกิจไทยกำลังซบเซา กระทรวงพลังงาน และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) ก็กำลังแอบซุ่มทำร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อยู่
โดยขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงรับฟังความเห็นถึงวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ในฐานะที่ผมประกอบอาชีพธุรกิจรับติดตั้งโซลาร์ วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุปสรรคเรื่องของใบอนุญาตนั้น เป็นปัญหาใหญ่ และสมควรได้รับการแก้ไขโดยด่วน เพราะมีหลากหลายหน่วยงาน และบางหน่วยงานก็มีความล่าช้า ทำให้เป็นที่มาของเรื่องคอรัปชัน ส่งผลให้เป็นอุปสรรคต่อผู้ทำธุรกิจและประชาชนผู้สนใจติดตั้งโซลาร์
โดยผมเองก็หวังว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์ฉบับนี้จะเป็นฮีโร่ของประชาชนที่อยากติดตั้งโซลาร์รูฟ แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงเพราะเมื่อผมได้เข้ามาอ่านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์โดยละเอียด กลับพบว่ากฎหมายฉบับนี้กำลังตกเป็น ‘เครื่องมือทำมาหากินของนักการเมือง’ ที่กำกับโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และพวกพ้อง
เพราะร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์เซลส์ฉบับนี้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานใหญ่คับฟ้า สามารถกำหนดทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว อาทิ
ให้ รมว.พลังงาน สามารถออกระเบียบ หลักเกณฑ์ กำหนดสถานที่ติดตั้งโซลาร์ นอกเหนือจากที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบกิจการ
ให้ รมว.พลังงาน มีอำนาจในการกำหนดอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์
ให้ รมว.พลังงาน สามารถกำหนดองค์กรที่จะทำการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า (นอกจากการไฟฟ้าฯ) เช่น จนท.ท้องถิ่น หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขั้นตอนที่ยุ่งยาก และอาจเสี่ยงต่อคอรัปชัน
ให้ รมว.พลังงาน มีอำนาจประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ประกอบการและขายให้องค์กรหรือบุคคลตามที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่อการคอรัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง และเป็นการให้อำนาจฝ่ายการเมืองมากไป โดยไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล
ให้ รมว.พลังงานมีอำนาจกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อ
ให้ รมว.พลังงาน มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปตรวจสอบ/รื้อถอนในสถานที่ติดตั้งซึ่งเป็นเคหสถานได้
และนอกเหนือจากที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแล้ว ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังเป็นการเพิ่มอำนาจให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน (พพ.) ซึ่งเป็นทบวงกรมภายใต้กระทรวงพลังงานอีกด้วย เพราะผู้ที่จะติดตั้งโซลาร์เซลส์ทุกคน จะต้องแจ้งความประสงค์ก่อนติดโซลาร์กับอธิบดีล่วงหน้า 30 วัน และปฏิบัติตามประกาศและหลักเกณฑ์ของอธิบดีและรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด (ซึ่งบัดนี้ยังไม่มีร่างหลักเกณฑ์และประกาศออกมา) และหากผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ ก็สามารถให้ ‘พนักงานเจ้าหน้าที่ที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง’ มีอำนาจในการรื้อถอนได้
โดยเจ้าของสถานที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนตามที่รัฐจะเรียกเก็บด้วยฉะนั้นร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงเป็นเสมือนการตีเช็คเปล่าให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน ทั้งที่ยังไม่มีร่างระเบียบ และหลักเกณฑ์ใดออกมา ทั้งนี้เพื่อรวบอำนาจและควบคุมพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด ตั้งแต่การติดตั้ง – ไปจนถึงการรับซื้อขายไฟ ไว้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งการติดตั้งโซลาร์ในยุคนี้มันควรจะเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับประชาชนเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในการประหยัดค่าไฟได้ง่าย
แต่นี่กลับสวนทาง โดยจะเป็นการเพิ่มภาระให้ประชาชน ทำสิ่งที่ปัจจุบันยากอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ยากขึ้นไปอีก และสุ่มเสี่ยงไปด้วยเรื่องคอรัปชันที่อาจตามมาได้ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าผู้ร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้รับใบสั่งจากใครมาหรือไม่ และมีเจตนาอะไร เพื่อใครหรือไม่แต่พฤตการณ์ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้นั้นค่อนข้างแน่ชัด ว่าเป็นอุปสรรคต่อประชาชน และผลประโยชน์ของชาติผมในฐานะที่เคยทำงานด้านการเมือง และปัจจุบันสวมหมวกผู้ประกอบธุรกิจโซลาร์ คงไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่ๆ
จึงขอส่งเสียง #ปฏิเสธ ร่างพรบ.ส่งเสริมโซลาร์แอบแฝงฉบับนี้
หากท่านใดอยากร่วมเป็นกระบอกเสียงกับผม ก็ขอเชิญชวนเข้าไปร่วมแสดงความเห็นได้ที่ www.law.go.th/listeningDetail?survey_id=NTMyN0RHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= จนถึงวันที่ 30 นี้เท่านั้น และท่านใดสนใจอ่านร่างกฎหมายทั้งหมด สามารถโหลดอ่านได้ที่ https://files.law.go.th/dgaBackoffice/2025-05-15-18%3A06%3A18_ต้นฉบับ%20ร่าง%20พรบ.%20ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงาน%20%28pdf%29.pdf
ในเมื่อนักการเมืองไม่จริงใจ แถมไม่มีความรู้
ประชาชนอย่างพวกเราก็ต้องสู้กันต่อไปครับ!