มัณฑนี สุรกาญจน์กุล เลขานุการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ได้จัดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 32/2568 ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2568 และวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 (การประชุมที่เลื่อนมาจากวันที่ 25 เมษายน 2568) เวลา 10.00 น. ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) เพียงรูปแบบเดียว เท่านั้น
ในการประชุมทั้งสองครั้งมีผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองและโดยการมอบฉันทะ และมีมติในวาระต่างๆ ดั้งนี้
ที่ประชุมมีมติ ‘ไม่อนุมัติ’ งบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และรายงานของผู้สอบบัญชี และมีมติอนุมัติงดจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ด้วย
ที่ประชุมไม่อนุมัติ เลือกตั้งกรรมการแทนกรรมการที่ออกตามวาระกลับเข้าดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ ต่อไปอีกวาระหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย
นายอาสา สารสิน (กรรมการอิสระ / ประธานกรรมการ)
นางปราณี ภาษีผล (กรรมการอิสระ / ประธานกรรมการตรวจสอบ)
นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ (กรรมการอิสระ / ประธานคณะกรรมการการลงทุน)
นายสมประสงค์ บุญยะชัย (กรรมการอิสระ / กรรมการการลงทุน / กรรมการสรรหา พิจารณาค่าตอบแทน และบรรษัทภิบาล)
กรณีกรรมการทั้ง 4 คนที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งกลับเป็นกรรมการของบริษัท ดังนั้นจึงส่งผลให้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีกรรมการเหลืออยู่จำนวน 8 คน บริษัทฯยังคงมีกรรมการอิสระจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน กรรมการทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผล ให้บริษัทฯ มีกรรมการตรวจสอบไม่ครบ 3 ท่าน โดยคณะกรรมการสรรหา พิจารณาค่าตอบแทนและ บรรษัทภิบาล จะพิจารณาสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อดำเนินการเสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมการหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป (แล้วแต่กรณี)
ทั้งนี้ จำนวนกรรมการที่ลดลง ไม่ได้มีผลต่อการบริหารงานหรือการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แต่อย่างใด
สำหรับงบการเงินปี 2567 ซึ่งที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไม่อนุมัตินั้น บริษัทฯ จะดำเนินการนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
โรงแรมดุสิตธานี ก่อตั้งโดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย หญิงเหล็กของธุรกิจโรงแรมไทย และมีการส่งต่อให้กับทายาท 3 คน แต่ทุกทั้งหมดถูกรวมกันใน ‘กงสี’ ของตระกูลในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัดซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด ทายาททั้งหมดต่างถือหุ้นในบริษัทกงสีเป็นหลัก
การถือหุ้น บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด แบ่งไปในกลุ่มทายาท
กลุ่มตระกูลโทณวณิก นำโดย ชนินทธ์ โทณวณิก บุตรชายคนโต ถือหุ้นรวม 26.66% ชนินทธ์ เองถือหุ้น 25.40% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐพร ศิรินันท์ และศิรเดช โทณวณิก ถือคนละ 0.42%
กลุ่มตระกูลเธียรประสิทธิ์ นำโดย สินี เธียรประสิทธิ์ บุตรสาวคนที่สอง ถือหุ้นรวม 26.65% สินี เองถือหุ้น 26.57% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐสิทธิ พัฒนีพร, ลลิตา เธียรประสิทธิ์ และภมรศักดิ์ เธียรประสิทธิ์
สินีแต่งงานกับ ฐิตินันท์ เธียรประสิทธิ์
กลุ่มตระกูลสาลีรัฐวิภาค นำโดย สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค บุตรสาวคนที่สาม ถือหุ้นรวม 21.68% โดย สุนงค์ เองถือหุ้น 21.62% ที่เหลือเป็นของชลิตา ภัทรพรรณ ภัทรพร และภัทร สาลีรัฐวิภาค
สุนงค์ แต่งงานกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในเวลานี้
การบริหารงาน และดูแลดุสิตธานี อยู่กับชนินทธ์ โทณวณิก ที่เป็นตัวหลัก โดยจับมือกับน้องสาวคนที่สาม สุนงค์ บริหารงานกัน
ความขัดแย้งในการบริหารโรงแรมดุสิตธานี ต้องบอกว่าเกิดจากความไม่ลงรอยกันระหว่างพี่น้อง 3 คน โดยเฉพาะกลุ่มของ ชนินทธ์ โทณวณิก และ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ที่เคยร่วมมือกันมาตลอด และทั้งสองกลุ่มถือหุ้นในบริษัทกงสีในสัดส่วนใกล้เคียงกัน จึงเกิดการพลิกขั้วอำนาจ โดย สุนงค์ กลับไปร่วมมือกับพี่สาวคนกลาง สินี เธียรประสิทธิ์ เพื่อได้มีเสียงข้างมากตามสัดส่วนหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายคือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 แม้จะผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีแล้ว
การไม่อนุมัติงบดังกล่าวอาจทำให้บริษัทไม่สามารถส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2568 ได้ทันตามกำหนด และเสี่ยงต่อการถูกตลาดหลักทรัพย์ติดเครื่องหมาย SP
จุดแตกหักคือการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการใหม่ ชนินทธ์ โทณวณิก ผู้บริหารคนสำคัญของดุสิตธานี ถูกถอดออกจากการเป็นกรรมการ และแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ 2 คน คือภัทร สาลีรัฐวิภาค (ตระกูลสาลีรัฐวิภาค) และลลิตา เธียรประสิทธิ์ (ตระกูลเธียรประสิทธิ์)
ทำให้กรรมการในปัจจุบันประกอบด้วย สินี เธียรประสิทธิ์ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ลลิตา เธียรประสิทธิ์ และภัทร สาลีรัฐวิภาค เพียง 2 ตระกูล ไม่มีชื่อของชนินทธ์ โทณวณิก และตระกูลโทณวณิก เป็นกรรมการบริษัทอีก รวมทั้งไม่มีอำนาจในการลงนาม และบริหารจัดการในบริษัทอีกต่อไป